คิดเท่าไร ๆ................ก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิด.............จึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิดนั่นแหละ..จึงรู้ โอวาทธรรม หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ จากหนังสือ" หลวงปู่ฝากไว้ " ต้องขออภัยด้วยครับ..ที่โพสต์ลงกระทู้ไปเมื่อวาน พอดีวันนี้ย้อนกลับมาดูหน้าเดิม อ่านทบทวนดูที่ตัวเองเขียนลงกระทู้ รู้สึกไม่ใคร่สบายใจเท่าไร อ่านเผินๆ..ดูๆไป..เหมือนจะออกตั้งตัวเป็นแนวอริยะเหนือผู้อื่น (ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า) พอดี ได้อ่านโอวาทธรรมของหลวงปู่ดุลย์ ซึ่งเป็นองค์อาจารย์ใหญ่ของผม ในอารมณ์นั้น จึงรู้สึกเหมือนคิดถึงท่านโดยฉับพลัน ข้อเขียนที่เขียนลงไป จึงเหมือนพูดอยู่กับท่าน..แต่หากท่านใดได้มาอ่าน ไม่ทราบความรู้สึกนิดคิดผมในขณะนั้น อาจคิดว่าไอ้นี้มันอวดเก่ง จึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ. เรื่องของข้อธรรมคำสอน องค์ครูบาอาจารย์ต่างๆ ความจริงจะว่าไป ก็เหมือนกันหมด ทั้งหลายทั้งปวงก็อยู่ที่ตัวเราเอง องค์ท่านต่างๆ ก็เพียงแต่เป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เราจะเดินตามหรือไม่ ก็แล้วบุญบารมีของแต่ละบุคคล อาจแตกต่างกันบ้าง ก็ด้วยภาษานำสื่อ..จึงอยู่ที่จริตของแต่ละบุคคล ที่ถูกกับสิ่งใด ผมอาจถูกด้วยจริต คำสอนหลวงปู่ดุลย์ ท่าน ข้อความที่โพสต์ลง อ่านเผินๆจึงดูเหมือนค้นพบอะไรแล้วประมาณนั้น ซึ่งจริงๆไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้ก็ยังงูๆปลาๆ กิเลสก็ยังคงเต็มหัวใจ เหมือนเดิม ทางด้านการปฏิบัติภาวนา ความที่ผมจะว่าไป ก็ถือว่าอ่านมามากพอสมควร ภาษาธรรมอันสวยหรู ก็จดจำได้มากพอสมควร อีกทั้งด้านประวัติครูบาอาจารย์ แนวอภิญญา อภินิหาร เหาะเหินฟ้า มุดลงดิน ก็รู้สึกจะชอบๆอยู่ ดังนั้นการนั่งสมาธิในแต่ละครั้ง แม้จะเพียรปฏิบัติมานานนับสิบปี บางครั้งอารมณ์นั้นๆก็เหมือนเราสงบดี นั่งที่ละได้นาน 1-2 ชม. ลุกจากที่ภาวนาก็รู้สึกเมื่อยขบบ้าง เป็นประจำ แต่ปัญหาแห่งการนั่งภาวนาในแต่ละครั้ง สิ่งที่ดูภายนอกเหมือนสงบ แต่จริงๆยังรู้สึกเหมือนมีตัวสัญญาต่างๆที่เรารู้ เราอ่านมา แทรกซึมขึ้นมาในอารมณ์เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็หลงตามไปในกระแสแห่งสัญญานั้น จึงพิจารณาไปเพื่อละกิเลสต่างๆ ตามที่คิดได้ (สัญญา) ณ. ขณะนั้น จนอยู่มาวันหนึ่ง นึกเชลียวใจ ว่ามันไม่น่าจะใช่แนวทางที่ถูกต้อง ความสงบที่แท้จริง มันไม่น่าจะใช่อารมณ์นี้ จิดที่บางครั้งดูจะเตลิดๆ ยังไงชอบกล..ชอบจะเห็นนู้นเห็นนี่ ลอยๆ..อะไรประมาณนี้..(สัญญาจากการฝังลึกในจิตรจากการอ่านแนวอภิญญา )จนถึงนิมิตร(อุปาทาน)ต่างๆ..ที่มักจะชอบผ่านๆแวะเวียนมาหาเราประจำ วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้อ่านโอวาทธรรมหลวงปู่ดุลย์ บทนี้..นั่งปวารณากับตัวเอง วันนี้จะไม่คิดอะไรทั้งนั้น คิดมามาก..มานานแล้ว.เบื่อ จะนั่งแบบเฉยๆนี่ล่ะ สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง ไม่สงบเดี๋ยวจะออกไปกินก๋วยเตี๋ยวปากซอย ตั้งใจว่า..วันนี้ฉันจะเป็นคนป่า คนดอย ไม่รู้หนังสือ ไม่เคยอ่าน ไม่เคยรู้จักอะไรเลยทั้งนั้น จะตามดูลมหายใจฉันอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ ชีวิตฉันนั้นมีแต่ลมหายใจเข้า-ออก นี้เท่านั้น นั่งเพียงแค่ครู่เดียว จึตสงบนิ่งได้ทันที นิ่งๆทรงตัวอยู่แพร๊บหนึ่งก่อน..อีกวาระหนึ่งจึงรู้สึกดิ่งวูบ เหมือนตกไปสู่หุบเหวลึก ไปสงบนิ่งอยู่ อารมณ์นั้นไม่สามารถบอกได้จริงๆว่าคืออะไร ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดมนุษย์ที่จะสื่อสารถึงกันได้ ทุกสรรพสิ่งรอบข้างได้ยินหมด รู้หมด แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับจิตเลย เสียงก็คือเสียง มันก็เรื่องของเขา อารมณ์ต่างๆไม่เกี่ยวข้องกันเลย หรือนี่คือสิ่งที่เรียกว่า "สักแต่รู้ " เมื่อจิตสงบอยู่ที่ฐานจิตพอประมาณ อารมณ์นั้นเขาไม่อยากจะถอนเลย อยากจะทรงตัวอยู่เช่นนั้นตลอดไป มันช่างสุขสบาย สงบ เย็นอะไรเช่นนี้หนอ..ไม่มีความสุขใดๆในโลกนี้ ที่จะสรรหามาบรรยายเทียบเท่าแม้สักหนึ่งในร้อยส่วน เพียงเราตัดใจอยากจะดูธรรมอะไรสักหน่อย ..จิตเขาก็เขยิบจิตขึ้นมาเองเล็กน้อย..ก็รู้ได้เองเช่นกัน ว่าจิตมีกำลังพิจารณาถูกต้องแล้ว เป็นกำลังบริสุทธิ์ไม่เจือด้วยอุปาทาน ข้อธรรมที่ผุดขึ้น เขารู้ เขาเห็นจริงตาม เขาตัดเขาเองเป็นขั้นๆ..ตัดได้ก็รู้ว่าตัดได้ ตัดไม่ได้ก็รู้ว่ายังตัดไม่ได้ สำหรับหัวข้อธรรมที่ผุดในวันนั้น วันนั้นสรุปนั่งไปรวม 6 ชม. ไมรู้สึกอะไรเลย ความรู้สึกตัวเองเหมือนสัก 20 -30 นาที ลุกจากภาวนา อาการเมื่อยขบที่เคยมี ไม่ปรากฏเลย ตัวช่างแสนเบาสบาย มีแต่นึกอยากจะจงกลมต่อ จงกลมไปก็เหมือนตัวลอยๆ เบาๆ สบาย เดินไปอีก 1 ชม.ก็เหมือนสัก 10 นาที โอ้..ช่างแปลกจริงหนอ..ความมหัศจรรย์แห่งจิต..อาการจิตมีแต่ความปลื้มปิติ..หนักไปในทางระลึกในคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..(โอ้..นี่เราแค่เบื้องต้นแค่นี้เองน่ะ ยังรู้สึกระลึกถึงองค์ครูท่านขนาดนั้น) จากวันนั้นเราจึงเริ่มซึ้งถึงรู้จักคำว่า ฐานจิต รู้จักถอยจิตเข้าสู่ อัปปนา-อุปจาร และรู้ได้เลยว่าครูบาอาจารย์ท่านเน้นให้ทำสมาธิให้ถึงแห่งฐานจิตแท้ก่อน (ที่สุดแห่งสมถะ) จิตจึงเป็นจิตแท้ ไม่เจือปนด้วยตัวกิเลส ตัวสัญญา และอุปาทานต่างๆ ก็พิจารณาธรรมจึงเป็นไปโดยบริสุทธิ์แท้ การละกิเลสและตัดสินกิเลสตัวนั้นๆ จึงไม่ได้ตัดสินกันด้วยความเข้าใจแบบโลกๆ.. เล่าขึ้นมานี้ หาใช่ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ เพราะรู้อยู่เต็มอก ทำได้เพียงขั้นนี้ ยังถือว่าไม่พอต้นทางแห่งนิพพาน ยังแสนห่างไกลนัก กำลังแห่งสมถะแม้เคยทำได้ ก็ใช่จะถาวร ทุกวันนี้ก็เสื่อมอยู่ ทำได้มั้ง ไม่ได้มั้ง (ส่วนใหญ่จะไม่ได้) ก็ด้วยจิตเผลอหน่อยเดียว มันคิดไปอารมณ์นั้นก่อน รู้อยู่เต็มอก มีตัวอยากเกิดขึ้น ไม่มีทางได้ไป ยิ่งอยาก ยิ่งไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งไม่ได้ ตราบที่หยุดคิดจึงได้ไป เมื่อได้ไปยังตัองอาศัยคิดเพื่อดำเนินจิตสู่เส้นทางแห่งปัญญา พิจารณาละกิเลสไปที่ละขั้นๆ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ซึ่งจริงๆไม่ต้องบอกเลย ถึงตอนนั้นทุกอย่างจิตเขาดำเนินไปเอง เราจะเรียกภาษาสวยหรูว่า วิปัสสนา ก็ช่าง เดี๋ยวนี้กระผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคำเล่านี้มากนัก..มุ่งเพียงให้สู่ฐานจิต ที่พักแห่งความสงบ เพื่อสะสมพละกำลัง.ก็ยากเต็มที่.. |