_/|\_ สวัสดีค่ะ คุณเด็กข้างวัด พี่พรสิทธิ์ และคุณสุภา
คุณสุภาประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็น นิดาก็เลยไปหาข้อมูลอ้างอิงส่วนที่ครูบาอาจารย์ท่านแสดงธรรมไว้ ซึ่งมีดังนี้ค่ะ
จาก สัมมาทิฏฐิตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ
...ตัณหานั้นท่านมักแปลกันว่า ความทะยานอยาก ความดิ้นรนของจิตใจ หรือแปลกันอย่างธรรมดาว่า ความอยาก
...เมื่อเป็นอารมณ์ที่รักใคร่ปรารถนาพอใจก็เกิดเป็นกามตัณหา และก็ย่อมเกิดภวตัณหา ต้องการที่จะเป็นเจ้าเข้าเจ้าของอารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจนั้น คือต้องการเป็นนั่นเป็นนี่ในอันที่จะครอบครองกามคือสิ่งที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย แต่ถ้าหากว่าอารมณ์เหล่านั้นไม่เป็นที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็เกิดวิภวตัณหาความอยากที่จะให้อารมณ์เหล่านั้นสิ้นไปหมดไป ไม่ต้องการที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ซึ่งจะต้องมีอารมณ์ที่ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจนั้นๆ
...อาการของความอยากดังกล่าวนี้ จึงมีลักษณะที่ดิ้นรนกระสับกระส่ายกระวนกระวาย
...ต้องการที่จะได้ ต้องการที่จะเป็นเราของเรา ต้องการที่จะให้สิ่งที่ไม่ชอบหมดไปอยู่เรื่อยไป
จาก หลวงปู่ฝากไว้ บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา ของ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
พระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน สนทนาธรรมะขั้นปรมัตถ์กับหลวงปู่หลายข้อ แล้วลงท้ายด้วยคำถามว่า ... ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนอีก จึงจะตัดวัฏสงสารให้สิ้นภพสิ้นชาติได้ฯ หลวงปู่กล่าวว่า “...เพียงแต่เจริญจิตให้รู้แจ้งในขันธ์ห้า แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกิริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง ว่าง มหาสุญญตา ว่างมหาศาล”
จาก อานาปาน์ โดย ท่านพ่อลี ธัมมธโร
ภวตัณหา – ความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งไม่มีฐานะที่จะเป็นไปได้ ก็อยากเป็น ซึ่งไม่ใช่เวลาและโอกาสที่ควรก็อยาก ท่านเรียกว่า ความหิวโหย เปรียบเหมือนกับคนหิวข้าว แต่ไม่มีข้าวจะกิน แล้วแสดงมรรยาทให้ปรากฏว่า เราเป็นคนอยากกินข้าว ท่านเรียกว่า “ภวตัณหา” (จิตส่าย) เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ขึ้นได้ชนิดหนึ่ง
วิภวตัณหา – ความไม่อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น เกิดมาแล้วไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพรากจากสิ่งทั้งหลายในโลกซึ่งตนมีอยู่ เช่น มียศ มีลาภ ก็ไม่อยากให้ยศให้ลาภหายไปจากตน ความจริงนั้นก็หนีไม่พ้น เมื่อมันแปรไป จึงทำให้เกิดทุกข์ (จิตไหว) ปุนปฺปุนํ ปิฬิตตฺตา ภวาภเว เป็นภพน้อยภพใหญ่ในจิตก่อน แล้วต่อไปเป็นชาติ ฉะนั้น ผู้มีปัญญาย่อมละวางเสียได้
จาก ไตรรัตน์ ๑ (หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ)
การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย ไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ
ส่วนโดยความเห็นส่วนตัว (ซึ่งถ้าผิดพลาดก็ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง _/|\_ไว้ด้วยนะคะ) นิดาว่าถ้อยคำและภาษานั้นดิ้นได้ สำคัญที่ความมุ่งหมายและการสื่อความที่ต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง การสื่อสารแบบสองทิศทางจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารโดยเฉพาะเมื่อประสบพบหน้ากันในระหว่างสนทนาจึงมีข้อดีคือสามารถซักถามข้อสงสัยได้โดยตรงและโดยทันทีนั้นเอง
นอกจากนี้ภาษาก็มีความอ่อนไหวตามกาลและตามกลุ่มชนอีกด้วย ในสมัยหนึ่งหากมีวัยรุ่นพูดว่า "จริงดิ" ก็เป็นลักษณะคำถามว่า จริงหรือ? ถ้าจริง ผู้ตอบก็ตอบว่า "จริง" "จริงน่ะซิ" ถ้าไม่จริงก็ตอบปฏิเสธไป แต่สมัยนี้ หากวัยรุ่นสองคนสนทนากัน คนหนึ่งว่า "จริงดิ" อีกคนตอบว่า "จริงดิ" ก็หมายเอาในกลุ่มหนึ่งว่าคนแรกถามเป็นคำถาม อีกคนนั้นตอบเป็นคำตอบ แต่ใช้การเล่นคำเดียวกันนั้นเอง
อันนี้ก็เลยเถิดออกไปนิดหนึ่งน่ะค่ะ กลับมาที่ประเด็นของกระทู้ นิดาก็เคยทั้งได้อ่าน (เห็น) และทั้งได้ยินได้ฟัง ทั้งสองแบบค่ะ ทั้งแบบ "ไม่อยากได้/มี/เป็น" และ "อยากที่จะไม่ได้/ไม่มี/ไม่เป็น" มาก่อนหน้านี้ และแม้เมื่อค้นข้อมูลอ้างอิงมาลง ก็แลดูว่าเป็นความหมายในทำนองเดียวกัน ดังนี้
ไม่อยากได้/มี/เป็น --- เป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่ต้องการที่จะได้/มี/เป็น ไม่ยินดีไม่พอใจที่จะได้/มี/เป็น เช่น ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร คนแบบนี้ถ้าใครให้อะไรมาแล้วจำใจต้องรับก็จะหาโอกาสให้ตอบแทนแบบไม่น้อยหน้ากันเพื่อให้เสมอภาค ไม่เป็นบุญเป็นคุณต่อกัน
อยากที่จะไม่ได้/ไม่มี/ไม่เป็น --- แบบนี้ก็ชัดเจนอยู่ว่าถ้าผิดไปจากที่อยากก็ไม่ยินดี ไม่พอใจ เมื่ออยาก + ที่จะไม่ได้ ก็ชัดเจนว่า ถ้าได้มาก็ไม่ยินดี
รวมความว่า "ไม่อยากได้" ก็หนักไปทางยินร้าย หรือชิงชัง ไม่พอใจ ยุ่งยากใจในการได้มา "อยากที่จะไม่ได้" ก็หนักไปทางยินร้าย หรือชิงชัง ไม่พอใจ ยุ่งยากใจในการได้มา เช่นกัน
ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ก็คือ ไม่คิดไขว่คว้าอยากได้ และไม่คิดขุ่นเคืองผลักไส ได้ก็สักแต่ว่าได้ ไม่ได้ก็สักแต่ว่าไม่ได้
ที่กล่าวมาส่วนความคิดเห็นของตนเองนี้ก็เป็นไปตามความเข้าใจส่วนตน ซึ่งผู้แสดงไม่ใช่ผู้รู้ที่จะรับรองความถูกต้องถูกตรงตามธรรมได้ค่ะ (เพราะเป็นเพียงผู้เดินทางที่ห่างไกลเป้าหมาย ... ส่วนนี้ที่กล่าวอยู่เนืองๆ ก็เพื่อเตือนใจผู้กล่าวเองเป็นสำคัญ ไม่ได้มุ่งหมายเป็นอื่นค่ะ) ทุกๆท่านที่อ่านกระทู้ก็คงต้องพิจารณาทำความเข้าใจของตนโดยอาศัยข้อมูลอ้างอิงที่มาจากครูบาอาจารย์ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ในทุกความสงสัยในธรรม สิ่งสำคัญสำหรับทุกคนและแม้แต่ตัวนิดาเองก็คือ การลงมือปฏิบัติจริง เพราะ...
“การเรียนรู้เป็นการสะสม เรียนไม่สามารถจบสิ้นได้ แต่การปฏิบัติเป็นการเรียนที่สามารถจบกิจ พ้นกิเลสพ้นทุกข์ได้” ... หลวงปู่อ่อน จกฺกธมฺโม
“ผู้ใดหลงใหลในตำรา ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน” ... หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
..._/|\_ พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชาค่ะ...
|