ท่านพระอาจารย์ชาญชัย อธิปัญโญ เคยอธิบายไว้เลยขอยกมาสรุมความให้ฟังว่ามีความจริงสองประเภทในโลกมนุษย์นี้
จริงประเภทแรกเป็นเป็นความจริงที่มนุษย์กำหนดขึ้น เรียกว่า จริงตามสมมุติ หรือสมมุติบัญญัติ เป็นความจริงที่เห็นพ้องกันในสังคม เพื่อประโยชน์ในการอยู่ร่วมกัน
ด้านสังคม เช่น ภาษาเพื่อสื่อสาร การนิยามความหมายหรือชื่อสิ่งทั้งหลาย การให้คุณค่าสิ่งต่างๆ เช่น ดี เลว ถูก แพง ประเพณี ค่านิยม
ด้านเศรษฐกิจ เช่น การกำหนดเงินตรา ราคาสิ่งของบริการต่างๆ
ด้านการเมือง การปกครอง การบริหาร เช่น ระบอบการปกครอง กฏหมาย ระเบียบข้อบังคังต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีด้านอื่นๆ มากมาย ซึ่งความจริงแง่นี้มีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ ของคนในสังคมมากมาย ความจริงตามสมมุตินี้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
มีความจริงอีกประเภทที่ยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริงของสมมุติชาวโลกมากนัก ความเป็นจริงนี้มีอยู่ตามธรรมชาติตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต เป็นความจริงที่ครอบงำสรรพสิ่งทั้งหลาย ได้แก่
ความจริงด้านความเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่คงที่ เป็นสภาพชั่วคราวที่เรียกว่า อนิจจัง
ความจริงด้านความทุกข์ ความอดทนได้ยาก ของใจที่ไม่เข้าใจสภาพความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ รวมถึง ทุกข์ตามสภาวะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของสรรพสัตว์ที่อยู่ในภพทั้งสาม
ความจริงของสรรพสิ่งที่จักต้องสิ้นสภาพความเป็นสิ่งนั้นๆ ไปในที่สุดที่เรียกว่า อนัตตา
นอกเหนือจากนั้นอาจแตกย่อยเป็นความจริงเรื่องบุญบาป ที่เป็นผลความสุข ความทุกข์จากการกระทำ ที่เป็นหลักธรรมชาติ (ข้อนี้อาจสับสนกับดีชั่วตามสมมุติบัญญัติที่อาจตรงหรือไม่ตรงกับ บุญบาปตามหลักธรรมชาติได้ถ้าไม่ทำความเข้าใจให้ดี)
หน้าที่เราคือ แสดงออก ทางกาย วาจาให้สอดคล้องกับสมมุตินิยมของโลก ส่วนใจสงวนไว้ให้กับความจริงทางธรรม
จึงควรใช้ปัญญาพิจารณา ว่า จะปฏิบัติ ทางกาย ทางวาจา อย่างไร จะปฏิบัติทางใจอย่างไร ธรรมส่วนใดนำมาปฏิบัติทางกายทางวาจา ธรรมส่วนใดปฏิบัติใจเป็นส่วนตัว ถ้าเข้าใจตามนี้ ปัญหาต่างๆ จะลดน้อยลงไปมากครับ |