*********
ที่มา – หนังสือ “ธัมมะในลิขิต ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน” ฉบับพิมพ์เป็นธรรมทานเพื่อถวายเป็นอาจาริยบูชา ดำเนินการพิมพ์โดย บริษัทพรีมา พับบลิชชิง จำกัด (มปป.)
คติธรรมที่ปกหน้า (ใน)
“อย่าเห็นทุกข์ สมุทัย เป็นคนละคนนอกจากตนไป และอย่าเห็นนิโรธ มรรค เป็นมิตรสหายมาจากต่างแดน พึงทราบว่าอริยสัจทั้งสี่เป็นลวดลายของจิตดวงเดียว ของคนๆ เดียวเท่านั้น” ... ๑๑ เมษายน ๒๕๐๒
ส่วนของข้อความในฉบับที่ ๑๐ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ (จาก ๕๗ ฉบับ ซึ่งรวบรวมโดย คุณเอี๋ยน ธัมมัญญู)
การเร่งทางด้านจิตตภาวนานั้นแลจะได้เห็นภัยของโลกทั้งมวล สังขารเราแก่เข้าทุกวัน เปลี่ยนไปทุกขณะลมหายใจ
ความหมายของจิตซึ่งปรุงไปก่อนเป็นอุปสรรคแก่ปัญญาซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ปัญญาที่เกิดขึ้นจากปัจจุบันจิตเป็นปัญญาที่จะเปลื้องความสงสัยได้โดยลำดับ ดังนั้น เราควรรักษาจิตให้เป็นปัจจุบัน ตั้งอยู่กับกายกับอารมณ์ที่เกิดจากจิต โดยเฉพาะเรื่องของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และอสุภธรรมทั้งหลายจะปรากฏขึ้นเองด้วยปัญญาอันละเอียดอ่อน ซึ่งอาศัยปัจจุบันจิตเป็นภาคพื้น
ความที่คาดคะเนนั้นทำได้ทุกคนเพราะไม่ใช่ของจริง ทำไปๆ เลยเกิดด้านหรือชินไปเสียอย่างดื้อๆ ยกตัวอย่างคนเรียนปริยัติมากๆ จำได้มากๆ ซึ่งไม่ใช่ปัญญา แล้วจะรู้สึกว่ามีทิฐิมานะมากเพราะสำคัญว่าตนรู้มาก ใครจะสอนคนเช่นนั้นเขายังไม่ฟังเสียง เพราะเขาสำคัญว่าความรู้ของเขาที่เรียนมาสูงจดท้องฟ้าเสียแล้ว ดังนี้ เป็นต้น
ความทำจริงมุ่งต่อความหลุดพ้นจริงๆ แม้จะเรียนเฉพาะกรรมฐาน ๕ เท่านั้น สาวกของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏในตำราว่าหลุดพ้นได้หลายองค์ การเรียนมากเรียนน้อยอาจเป็นอุปนิสัย ซึ่งเคยสั่งสอนปริยัติมาแต่ชาติปางก่อนก็ได้ สรุปความแล้ว เรียนมากเรียนน้อยจะต้องไหลลงรวมในข้อปฏิบัติ คือ หลักจิตตภาวนาทั้งนั้น ซึ่งเป็นหลักมุ่งประสงค์ของพระองค์โดยแท้ทีเดียว อนึ่ง ความรู้ทั้งหมด จะเป็นสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา หรือปัญญาเกิดจากการศึกษามากน้อยทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องกลับมาฟักตัวอยู่ที่ภาวนามยปัญญา อันเป็นส่วนรวมของปัญญาทั้งหลาย เหมือนแม่น้ำทั้งหลายไหลมารวมลงมหาสมุทรฉะนั้น
ภาวนาปัญญานี้ เบื้องต้นต้องเข้าอาศัยจิตที่ตั้งมั่น (ปัจจุบันจิต) เสียก่อน เพราะปัจจุบันจิตดังที่อธิบายแล้วข้างต้น ย่อมเป็นภาคพื้นหรือบ่อเกิดแห่งปัญญาทุกประเภท หรือเหมือนพื้นดินเป็นที่อาศัยเกิดแห่งพืชทุกชนิดนั้น ดังนั้น อุบายทั้งปวงเมื่อเราพยายามรักษาจิตให้ตั้งอยู่เฉพาะในวงแห่งกายแลจิตแล้ว จะเกิดขึ้นเองและจะตัดความสงสัยภายในจิตได้เป็นลำดับ ตั้งแต่ต้นจนตลอดอวสาน จะหนีจากหลักปัจจุบันจิตซึ่งสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันกับกายแลจิตอันเป็นตัวเหตุสำคัญไปไม่ได้เลย
ผู้เรียนมากก็ดี ผู้เรียนน้อยก็ดี ที่จะถอดถอนความสงสัยอันมีอยู่ภายในจิตไม่ได้ ก็เพราะหนีจากหลักความจริงคือกายกับจิตซึ่งเป็นรากฐานของปัจจุบันจิตนั้นเอง เมื่อบังคับจิตให้ตั้งอยู่ในรากฐานอันนี้แล้ว เรื่องปัจจุบันจิตจะปรากฏตัวขึ้นเอง โดยไม่ต้องไปคว้าหาที่ไหน เมื่อปัจจุบันตั้งมั่นแล้ว ปัญญานับแต่ชั้นต่ำ-กลาง และปัญญาส่วนละเอียดสูงสุดก็จะแตกแขนงกิ่งก้านขึ้นมาจากนั้นเป็นลำดับ เหมือนบุคคลก่อไฟให้ติดเชื้อด้วยดีแล้ว ควันซึ่งอาศัยไฟเป็นเหตุนั้น จะตั้งขึ้นตั้งแต่ควันหยาบ ควันปานกลาง และควันที่ละเอียดสุดจากเปลวไฟนั้นเป็นลำดับ ฉะนั้นพึงทราบเรื่องของปัญญาทุกประเภท จะต้องเกิดจากปัจจุบันจิตเช่นเดียวกับควันไฟเกิดจากเปลวไฟนั้นเถิด”
ส่วนของข้อความในบันทึกลำดับที่ ๑๑ (จากเทศนาธรรมที่แสดง ณ วัดอโศการาม เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๐๒ ซึ่งบันทึกโดย คุณแม่ชีมธุรปาณิกา)
“ผู้ใดปฏิบัติรักษาศีล ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือศีล ผู้ใดปฏิบัติสมาธิ ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือสมาธิ ผู้ใดเจริญปัญญา ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าของสมบัติคือปัญญา”
“ถ้าเราเป็นผู้พิจารณาตัวเราเองอยู่ทุกเวลา ทั้งในกลางวันและกลางคืนแล้ว เราก็ต้องเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ และปัญญาสมบัติ”
คติธรรมที่ปกหลัง (ใน)
“เสื่อมจงรู้ตาม เจริญจงรู้ตาม เผลอหรือไม่เผลอจงตามรู้ทุกอาการ จึงจัดว่านักค้นคว้าความรู้เท่าในอาการเกิดๆ ดับๆ ของสิ่งเหล่านี้ด้วยปัญญาเสมอไป นั่นแลจัดว่าเป็นผู้รู้เท่าทันโลก และเรียนโลกจบ จึงจะพบของจริง”... ๗ ธันวาคม ๒๕๐๒
*********
_/|\_ พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา
|