luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   คำสอนสมเด็จองค์ปฐม  (Read: 8179 times - Reply: 2 comments)   
Aimee2500

Posts: 44 topics
Joined: 14/12/2552

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
« Thread Started on 10/1/2555 2:19:00 IP : 86.183.230.168 »
 

คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

รู้แล้วยึดเป็นทุกข์ รู้แล้ววางเป็นสุข เพราะในที่สุดแล้วโลกนี้ทั้งโลกไม่มีอะไรเหลือ จึงไม่มีอะไรที่จะให้เรายึดได้ สิ่งที่เรายึดมากที่สุด-รักและหวง แหนมากที่สุดก็คือ ร่างกายของเรา ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ ซึ่งเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ หากวางอุปาทานขันธ์ ๕ ได้จุดเดียว ก็จบกิจในพระพุทธศาสนา ให้หมั่นท่องไว้ว่า เราคือจิต เป็นอมตะไม่เคยตาย ผู้ตายคือร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราว แล้วใช้ปัญญาพิจารณา-ใคร่ครวญ-หาเหตุ-หาผลจากกายกับจิตนี้ตามความเป็นจริง

XXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXXX

..ให้พิจารณาหาความจริง

ว่า ในเมื่อร่างนี้เป็นเพียงธาตุ ๔ ผสมตัวกันชั่วคราว มีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนองที่หลั่งไหลอยู่ภายในตลอดร่าง จะมีอะไรสวยงาม จงพิจารณาหาความจริงตามนี้

จนอารมณ์จิตมีความรู้สึกเป็นปกติ ว่า ร่างแต่ละร่างเป็นธาตุที่รวมตัวกัน เลอะเทอะด้วยของโสโครกน่าเกลียด ไม่น่ารักเลย นอกจากน่าเกลียดแล้ว ยังไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน มีการก่อตัวขึ้นแล้วยังเป็นรังที่อาศัยของโรคภัยไข้เจ็บ มีโรครบกวนเป็นปกติ หาความสุขสบายแม้แต่ นิดหนึ่งไม่มีเลย ร่างนี้ยังต้องบริหารด้วยการออกกำลังกาย การบำรุงรักษาอาหารมาบำรุงบำเรอ ต้อง บริหาร ด้วยอาการต่าง ๆ เป็นปกติ ถึงกระนั้นจะทำให้สิ้นทุกข์หาได้ไม่ เพียงแต่ระงับทุกข์ชั่วคราวเท่านั้น

แล้วในที่สุดความเสื่อมโทรมของธาตุ ๔ ก็จะค่อยทวีตัวมากขึ้น ในที่สุดธาตุ ๔ ก็ค่อย ๆ คลายตัวจากความเข้มแข็ง เป็นอ่อนสลวยและสิ้นกำลังในที่สุด เป็นจุดดับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็น อนัตตา คือบังคับไม่ให้ดับสลายไม่ได้

ท่านสอนให้พิจารณาให้รู้ ให้เข้าใจ จนจิตมีความรู้สึกเป็นอารมณ์ประจำตามที่ท่านเรียกตามแบบว่าเป็นเอ กัคคตารมณ์ คือ อารมณ์เห็นอย่างนั้นเป็นปกติ จนหมดความเมาในเรือนร่าง หมดความเมาในความเป็นอยู่ รู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ธาตุที่รวมตัวนี้ต้องสลาย และสลายตัวอยู่เป็นปกติทุกวัน

เวลาที่เคลื่อนไป ตัดความห่วงอาลัยในธาตุที่ประชุมเป็นเรือนร่างเสีย เห็นเป็นอนัตตาเป็นปกติ คิดรู้อยู่เสมอโดยมีความคิดเป็นปกติว่าร่างสิ้นไป เราคือจิตจะอาศัยร่างชั่วคราว เมื่อสิ้นร่างเราก็ไม่ยึดแดนใดเป็นที่เกิดต่อไป เพราะการเกิดเป็นการแสวงหาความทุกข์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีทุกข์

แดนที่เรียกว่าไม่เกิดคือแดนพระนิพพาน พระนิพพานที่จะไปถึงได้ ก็อาศัยความไม่ยึดถือร่างกายที่ประกอบด้วยธาตุ ๔ นี้ว่า เป็นเรา เป็นของเรา...


พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
จำนวนข้อความทั้งหมด:  1
1
แสดงความคิดเห็น
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 1  « on 10/1/2555 8:23:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
 

จะพระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ ก็ต้องไม่ลืมและไม่ข้ามพระสมณโคดมพุทธเจ้าพระองค์นี้นะครับ

ส่วนเรื่องจิตเป็นอมตะนั้น ส่วนตัวยังไม่ควรนำมาเผยแพร่หรือสงสัยในชั้นนี้ เพราะประเด็นจิตเป็นอมตะธาตุ vs. จิตเป็นอนัตตา ได้เคยเป็นกรณีพิพาทถึงขั้นต้องสังคายนากันมาแต่อดีตกาลแล้ว ดังนั้นให้เป็นเรื่องของภาคปฏิบัติในชั้นละเอียดและเป็นเรื่องส่วนตัวจะปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังเป็นเรื่องไกลตัวอย่างเรา ๆ

มีมากทีเดียว ทั้งที่กำลังจะสื่อถึงสภาวะอย่างเดียวกัน แต่ก็ใช้ภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้ที่ขาดพื้นฐานเข้าใจสับสนได้ เช่น นิพพานคือนิพพาน vs. นิพพานคืออนัตตา เพราะทั้งสองสำนวนก็ล้วนสื่อว่านิพพานไม่ใช่อัตตาแน่ ๆ

จริง ๆ อนัตตาคือบทปฏิเสธอัตตา (ก่อนและสมัยพระพุทธเจ้า ใคร ๆ ก็เชื่อว่ามีอัตตาที่เที่ยงแท้เป็นจุดหมายสูงสุด จะเรียกว่าพรหมหรืออาตมัน ปรมาตมันก็สุดแท้แต่) มีแต่พระพุทธเจ้าของเราท่านนั้นที่ประกาศว่าอะไร ๆ ก็เป็นอนัตตา (สัพเพธัมมาอนัตตา) ดังนั้น จะเรียกนิพพานว่าเป็นนิพพาน (แบบกำปั้นทุบดินก็ถูก) หรือจะเรียกว่าเป็น อนัตตา คือ สิ่งที่มิใช่อัตตา ก็ถูกตามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ 

การที่หลวงพ่อฤาษีท่านยกเรื่องสมเด็จองค์ปฐมท่านก็ไม่ทิ้งเรื่องความกตัญญู กล่าวคือเพราะมีพระพุทธเจ้าแต่อดีตกาล จึงมีพระพุทธเจ้าองค์ต่อ ๆ มา แต่ท่านมิได้จะให้ข้ามพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพราะพระคุณของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เราถือเป็นสรณะสูงสุดอยู่นี้ ก็ล้นเหลือสุดประมาณ ประกอบกับพระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ ก็สอนอริยสัจเหมือนกัน

แม้การสร้างสมเด็จองค์ปฐม ท่านก็มิได้ให้เราระลึกเพียงพระพุทธเจ้าองค์แรก หากให้ระลึกว่าเป็นที่รวมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ (รวมทั้งองค์ปัจจุบัน) เรื่องนี้ลุงสิทธิ์ได้รับทราบจากการสนทนากับหลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จังหวัดสระบุรี ศิษย์อาวุโสอีกท่านหนึ่งของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งท่านอธิบายอย่างพออกพอใจว่าไม่เคยมีใครมาถาม และท่านก็ห่วงว่าระยะหลังมานี้จะพากันมีศรัทธาและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ท่านจึงเมตตาเล่าให้ฟังถึงเจตนารมย์ของหลวงพ่อฤาษีดังสรุปมาข้างต้นนี้ครับ

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
1
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 2 Visits: 16,685,610 Today: 419 PageView/Month: 67,130