luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   เรื่องที่น้อยคนจะทราบ  (Read: 19408 times - Reply: 10 comments)   
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
« Thread Started on 11/1/2555 22:16:00 IP : 124.121.195.92 »
 

ต่อไปนี้เป็นเนื้อความตามจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ สวรรคต

วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสิบเอ็ด ปี พ.ศ ๒๔๑๑

เวลาสองโมงเช้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีรับสั่งแก่พระยาบุรุษรัตน์ว่า "วันนี้เป็นวันสำคัญ อย่าไปข้างไหนเลย ให้คอยดูใจพ่อ ข้ารู้เวลาตายของข้าแล้ว ถ้าข้าจะเป็นอย่างไรลง ก็อย่าได้วุ่นวาย บอกหนทางว่า "อรหํ พุทฺโธ" เลย ให้นิ่งดูแต่ในใจเถิดเป็นธุระของข้าเอง"

เวลาสามโมงเศษ มีรับสั่งเรื่องการจัดการพระศพ

เวลาใกล้เที่ยง รับสั่งกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท  เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์  และเจ้าพระยาภูธราภัย ที่โปรดฯ ให้เข้าเฝ้าว่า "วันนี้พระจันทร์เต็มดวง เป็นวันเพ็ญ อายุของฉันจะหมด จะดับในวันนี้แล้ว ท่านทั้งหลายและฉันได้ช่วยทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้ กาละมาถึงฉันแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลาย ด้วยฉันออกอุทานวาจาไว้เมื่อบวชอยู่นั้นว่า เมื่อไรเป็นวันเกิดก็อยากจะตายในวันนั้น วันฉันเกิดเป็นวันเพ็ญ เดือนสิบเอ็ด ฉันจะขอลาท่านทั้งหลายไปจากภพนี้ในวันนี้"

ทั้ง ๓ ท่านได้ยินดังนั้นก็พากันโศกเศร้าร้องไห้ พระองค์จึงรับสั่งปลอบว่า "อย่าร้องไห้เลยจ้ะ ความตายไม่เป็นของอัศจรรย์อะไรดอก สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ย่อมเหมือนกันทุกรูปทุกนาม แต่ผิดกันที่ตายก่อนตายหลัง แต่ก็ต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น ก็บัดนี้กาลมาถึงตัวฉันเข้าแล้ว ฉันจึงได้อำลาท่าน ท่านเห็นว่าฉันจะพลัดพรากจากไป มีความอาลัยรักใคร่ จึงได้ร้องไห้ด้วยความเสียดาย ก็บัดนี้ตัวฉันเป็นคนเข้าถึงก่อนแล้ว ท่านทั้งหลายก็ต้องถึงเหมือนกัน" 

จากนั้นพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับการแผ่นดิน และได้สมาทานศีล ๕ จากนั้นก็ตรัสเป็นภาษาอังกฤษยืดยาว เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรงมีสติดีอยู่ มิได้ฟั่นเฟือน แล้วตรัสสั่งว่า "ถ้าสิ้นตัวฉันแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำนุบำรุงการแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย สมณพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์จะได้เป็นที่พึ่ง อยู่เย็นเป็นสุข แต่ต้องรับฎีการ้องทุกข์ของราษฎรให้เหมือนอย่างที่ฉันเคยรับมาแต่ก่อน ส่วนผู้ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปในภายหน้า ให้พร้อมกันเลือกหากันเถิด จะเป็นพี่ก็ตาม จะเป็นน้องก็ตาม สุดแต่จะเห็นพ้องกัน ผู้ใดมีปรีชาญาณสามารถรักษาแผ่นดินได้ก็ยกขึ้นเป็นเจ้าทำนุบำรุงแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์และราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป"

เวลาบ่ายห้าโมงเศษ มีรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารให้เข้าเฝ้าเพื่อให้จดพระคาถาที่แต่งขึ้นสด ๆ เป็นภาษามคธ เพื่อเป็นการลาพระและเป็นการขอขมาสงฆ์ แล้วทรงให้มหาดเล็กจัดเครื่องนมัสการไปตั้งที่พระอุโบสถวัดราขประดิษฐ์ฯ เมื่อสงฆ์จะกระทำวินัยกรรมปวารณาพระวัสสา ให้จุดธูปเทียนแล้วให้อ่านคาถาพระในท่ามกลางสงฆ์แทนพระองค์

เวลาสองทุ่มสามสิบหกนาที รับสั่งพระยาบุรุษรัตน์ว่า "พ่อเพ็ง เอาโถมารองเบาให้พ่อที" พระยาบุรุษรัตน์จึงเอาโถพระบังคนเบาขึ้นบนพระแท่นถวาย ลงพระบังคนแล้วก็พลิกพระองค์ไปข้างตะวันออก รับสั่งว่า "จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว" แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันตก รับสั่งอีกว่า "จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว"

ทรงภาวนามีเสียงออกมาว่า "อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ" ทรงอั้นนิ่ง แล้วทรงผ่อนอัสสาสะ ปัสสาสะ (ลมหายใจออก-เข้า) เป็นคราว ๆ ยาวแล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อย ๆ หางพระสุรเสียงยังคงให้ได้ยินเพียงว่า "พุทฺโธ ๆ ๆ ๆ" ลมหายใจเบาลงทุกที ๆ กระทั่งตลอดไปจนยามหนึ่ง มีเสียงดังคร็อกเบา ๆ พระองค์ก็จากไป

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเวลาเต็มปฐมยาม สวรรคตในท่าพระไสยาสน์ พระสรีระร่างกาย พระหัตถ์ พระบาท จะกระดิกกระเดี้ยเหมือนอย่างสามัญชนก็หามิได้ แล้วก็มีหมอกคลุมมัวเข้าไปในพระที่นั่งในเวลานั้น.

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
จำนวนข้อความทั้งหมด:  6
1
แสดงความคิดเห็น
เด็กข้างวัด

Posts: 23 topics
Joined: 18/1/2553

ความคิดเห็นที่ 1  « on 11/1/2555 22:34:00 IP : 223.205.129.231 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 

สาธุ ครับ...พระธรรมราชา

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
metha

Posts: 127 topics
Joined: 9/12/2552

ความคิดเห็นที่ 2  « on 11/1/2555 23:27:00 IP : 27.130.209.72 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 

พระองค์ท่าน กับ สมเด็จโต วัดระฆังฯ
จึงเป็นดั่ง "เพชรที่ประดับอยู่บนยอดพระมหามงกุฎ"
ท่านคู่ควรกันจริง ๆ

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 3  « on 12/1/2555 8:22:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 


ลืมเล่าถึงแรงบันดาลใจที่นำบางตอนของจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ สวรรคต มาเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง

เมื่อกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว (ไม่รู้เพื่อนสมาชิกหลาย ๆ ท่านจะอายุกี่ขวบ *-*) ลุงสิทธิ์ได้รับฟังพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นพระมหานิกาย (เรียกง่าย ๆ ว่าพระวัดบ้าน)  ไม่รู้ว่าจะด้วยความลำเอียงไม่ชอบใจพระธรรมยุติ (ซึ่งรัชกาลที่ ๔ เป็นผู้จัดตั้ง) หรืออย่างไร จึงได้พูดสอนลูกศิษย์ในทำนองว่า  ก่อนรัชกาลที่ ๔ จะสวรรคต ท่านได้สารภาพว่าท่านเสียพระทัยที่จัดตั้งธรรมยุติขึ้น เพราะเป็นการทำสงฆ์ให้แตกแยก

ลุงสิทธิ์รับฟังแล้วก็เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ ที่สงสัยไม่ปักใจเชื่อก็เพราะว่าโดยส่วนตัวเห็นว่ารัชกาลที่ ๔ ท่านทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง แล้วผลดีก็ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรม จนกองทัพพระกรรมฐานเกิดขึ้นมากมาย (อาศัยหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นเป็นผู้นำและขยายผล) ในฝั่งวัดบ้านเองก็เกิดการกระตือรือร้นที่จะปฏิวัติตัวเอง ซึ่งคงเป็นเจตนาของรัชกาลที่ ๔ ที่จะให้เป็นอย่างนี้ เพราะหากไม่มีนิกายใหม่ที่เคร่งครัดพระวินัยมาเปรียบเทียบ ก็ยากจะปรับปรุงพระสงฆ์ที่หย่อนยานในพระธรรมวินัยในยุคนั้น

กระทั่งโลกดิจิตอลมาช่วยลุงสิทธิ์ค้นหาจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๔ สวรรคต ซึ่งเรียบเรียงโดยกรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งเป็นที่น่าเชื่อถือ โดยมีการ reprint เป็นหนังสือแจกงานศพ ดังปรากฏในรูปด้านบน

ซึ่งหากพวกเราได้ศึกษาก็ยิ่งจะเห็นว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ไทยอีกพระองค์หนึ่งที่เกิดมาเพื่อรักษาชาติ รักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ อีกทั้งพระองค์เองก็เป็นผู้ประพฤติธรรม กระทั่งวาระสุดท้าย พระองค์ก็จากไปอย่างสง่างาม จากไปในอาการที่มีความบริบูรณ์แห่งสติสัมปชัญญะ สมเป็นแบบอย่างของพุทธมามกะผู้ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะสูงสุด 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
metha

Posts: 127 topics
Joined: 9/12/2552

ความคิดเห็นที่ 4  « on 13/1/2555 9:36:00 IP : 110.77.138.63 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคุณสุภา เรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน
ธรรมะจัดสรรให้พี่สิทธิ์และเพื่อนๆ สมาชิกได้ทราบกัน
ในยุคที่ข้อมูลความจริงหาได้ยากขึ้นทุกที

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
รณธรรม

Posts: 2 topics
Joined: 7/11/2552

ความคิดเห็นที่ 5  « on 13/1/2555 16:00:00 IP : 58.11.243.2 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 

ครั้งที่ท่านเจ้าคุณพระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา ยังทรงสังขารอยู่นั้น มีนักปฏิบัติหญิงผู้ได้คำรับรองจากครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่หลายรูป นั่งภาวนา "เห็น" ว่า ทุกครั้งที่หลวงพ่อพุธไปในงานพิธีสำคัญที่ใดก็ตาม จะปรากฏ "เศวตฉัตร ๙ ชั้น" กางกั้นอยู่เหนือศีรษะหลวงพ่อแทบทุกคราวไป ท่านผู้นั้นเมื่อกำหนดพิจารณาก็ได้ความว่าหลวงพ่อเคยเกิดเป็นราชวงศ์ผู้ใหญ่มากมาก่อน

ครั้นเรื่องนี้แพร่หลายออกไป หลวงพ่อก็ยิ่งระมัดระวังองค์ท่านมากขึ้น เพราะโดยปกติท่านก็มิใช่พระเจ้ายศเจ้าอย่างอยู่แล้ว ขนาดว่าเดินไปศาลาการเปรียญญาณวิศิษฏ์ พระอุปัฏฐากช่วยกั้นร่มกันแดดถวาย ท่านยังปฏิเสธและดุด้วยว่า "กั้นไปทำไม ถูกแดดแค่นี้ไม่ตายดอก ฉันไม่ใช่ผู้ดีมาจากไหน"

อยู่มาวันหนึ่งที่กุฏิเก่าในวัดป่าชินรังสี อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ใกล้ค่ำวันนั้นไม่ปรากฏแขกมาพบหลวงพ่อ คงมีกันเพียงหลวงพ่อ พระอุปัฏฐาก และผมกับเพื่อน ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั้นหลวงพ่อก็เล่าเรื่องรัชกาลที่ ๔ ขึ้นว่า พระองค์มีบุญคุณกับพระพุทธศาสนามาก ช่วยตั้งวงศ์ธรรมยุติขึ้นเพื่อดำรงพระศาสนาไว้ เพราะพระสงฆ์สมัยนั้นอ่อนธรรมอ่อนวินัยกันส่วนมาก หากปล่อยไว้เป็นอย่างนั้นไม่แคล้วศาสนาจะเสื่อมจากใจคนจนหมด ส่วนที่ได้ชื่อว่าธรรมยุติ ธรรมยุติอันเป็นการเรียกคล้ายประชดว่าเป็นผู้เคร่งธรรมนั้นเราไม่ได้ตั้งกันเอง แต่เป็นฝ่ายมหานิกายเขาพากันเรียกเรา เลยได้ชื่อว่าธรรมยุติมาตั้งแต่นั้น

เมื่อท่านเล่าจบ ครูบาหมูซึ่งนั่งเก็บของเงียบ ๆ อยู่ใกล้ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า เอ้า นึกว่าธรรมยุติเป็นชื่อที่รัชกาลที่ ๔ ท่านตั้งขึ้นเสียอีก แต่เรื่องนี้ก็ไม่เห็นมีบันทึกที่ไหนแล้วหลวงพ่อรู้ได้ยังไง ?

ทันทีนั้นท่านก็หันไปพูดกับครูบาหมู ซึ่งพวกผมไม่ได้คิดด้วยจึงไม่ทราบความหมายที่มาที่ไป ท่านพูดเสียงเข้ม เน้น ๆ ชัด ๆ ว่า

"ก็ฉันเป็นคนทำเองจะไม่รู้ได้ยังไง..."

 

ต่อมาเรื่องนี้ก็ได้แพร่หลายกว้างขวางออกไปเรื่อย ซึ่งก็ไปรับรองกับคำพูดของคุณหญิงนักภาวนาท่านนั้นพอดีอีก หลวงพ่อพุธจึงประกาศ "ธรรมปรารภ" ในที่หลายแห่งว่า

"คนเราจะเคยเกิดเป็นอะไรมาในอดีตนั้นมันไม่สำคัญดอก เพราะดีก็ดีมาแล้ว ชั่วก็ชั่วมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ สำคัญอยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละว่า เราจะเอาดีได้หรือเปล่า"

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
พลอยสวย

Posts: 16 topics
Joined: 9/10/2554

ความคิดเห็นที่ 6  « on 16/1/2555 21:52:00 IP : 182.53.100.99 »   
Re: เรื่องที่น้อยคนจะทราบ
 

พออ่านข้อความของคุณลุงเมธาแล้วมีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในจิตว่า

" สูทั้งหลายจงมาดูโลกอันงามตา  ดุจราชรถอันวิจิตร  ที่ ........................... "

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
1
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 4 Visits: 16,685,890 Today: 695 PageView/Month: 67,417