ประมาณนั้น ประมาณนั้นครับคุณพี่สิทธิ์..
คงเหมือนกับคุณฐายิณีว่า "หดหู่ใจที่เดียวครับ"
แลเห็นโทษภัยแห่งการเริ่มต้นผิด มากที่เดียว
------------------------------------------------------------------
ความจริงแล้ว ผู้สนใจปฏิบัติภาวนากรรมฐาน
ต่างได้ชื่อว่าเป็นผู้มีศรัทธา ผู้มีความปราถนาดี เหล่าคนดีด้วยกันทั้งนั้น
แต่เพราะความหลงก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี แหล่งปฏิบัติผิดที่ผิดทางก็ดี
เลยกลายเป็นเข้าลกเข้าพงไป น่าเห็นใจที่เดียวครับ
------------------------------------------------------------------
หลงอะไรยังพอแก้ได้ แต่หลงที่วิปัสสนูกิเลสนี่..แก้ยากจริงๆครับ
น้อยคนจริงๆที่จะกู่กลับได้...ปราชญ์บางท่านว่ายากกว่าผู้เริ่มปฏิบัติใหม่ซะด้วยซ้ำ
ครูบาอาจารย์พระป่าผู้ใหญ่หลายๆองค์ ที่ผมเคยได้กราบท่าน ยังบอกว่า..ถึงที่สุดแล้วก็ต้องปล่อยเขาไป..
"..ธรรมะไม่ใช่ของง่ายเลยหนอ.."..
------------------------------------------------------------------
สาเหตุแห่งวิปัสสนูกิเลสส่วนหนึ่ง เท่าที่ประสบการ์ณเคยพบ (เพื่อนๆนักปฏิบัติ)
มักเริ่มจากเป็นผู้อ่านมาก จดจำได้มาก โดยเฉพาะข้อความในปิฏกทั้งสาม ถือว่าแม่นมาก สามารถยกแต่ละบทแต่ละตอนขึ้นหักล้าง โต้เถียงได้ไม่ผิดเพี้ยน
แลด้วยความอ่านมาก คิดมาก ตีความมาก โดยขาดซึ่งครูบาอาจารย์(ภาคปฏิบัติ) ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องให้ (ธรรมถลึก)
การตีความเอง เข้าใจไปเอง
หลายๆอย่าง จึงกลายเป็นซึ่ง "ความหลง"
------------------------------------------------------------------
นานเกือบๆ 20 ปีแล้วยังจำได้..
ครั้งหนึ่งได้กราบครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ พระป่ากรรมฐานองค์หนึ่ง ก่อนที่ท่านจะสงขาร ด้วยความเป็นวัยรุ่น อ่านประวัติเกจิอาจารย์ภาคปาฏิหารย์มามาก ก็อยากมีฤทธิ์มีเดชมีอภิญญากับเขาบ้าง
ความคะนองฤทธิ์ กราบเรียนถามท่านเลยว่า
"หลวงปู่ฯครับ ผมอยากเรียนกสินครับ"
ยังจำแววตาท่านได้ แทนที่ท่านจะหมั่นไส้เรา ท่านกลับยิ้มด้วยความเมตตา แล้วว่า..(แปลจากภาษาอีสาน เป็นภาษาไทยกลาง ใจความว่า..)
เอากองลมก่อนไม่ดีกว่าเหรอ กองลมยังไม่ได้จะไปกองน้ำ กองไฟ กองอากาศกันซะแล้ว
เพราะกองลมเพียงเบื้องต้นยังไม่ได้ ก็ว่าไม่ถูกจริต..ขึ้นบันได้ชั้นแรกไม่ได้ ก็จะโดดไปชั้นสามชั้นสี่ซะแล้ว..
ระวังหนอ..มันจะกลายเป็นน้ำกิเลส ไฟกิเลส อากาศกิเลส ไปซะนั้น
จำได้คร่าวๆแค่นี้ครับ..
-----------------------------------------------------------------
ความจริงในภาคปฏิบัติหากไม่ขยายความให้วุ่นวายนัก เพียงแค่กองลม หรือคำภาวนา ไม่ต้องว่าถึง 40 กอง
น่าจะเป็นที่เพียงพอแล้ว เป็นทางเอกแล้ว ไม่ต้องหาจริตให้วุ่นวาย หาไปหามา ก็พอดีหากันไม่เจอสักที..
โดยความเห็นสำหรับผม ผู้มีความรู้น้อย..เห็นน้อย มีความเห็นว่า
แค่การกำหนดสติให้นิ่ง..อย่าแสส่าย..
ตามดูกองลม หรือตามดูคำภาวนา..รู้เท่านี้พอแล้ว อย่ารู้มาก ยิ่งรู้มากยิ่งหาความสงบไม่เจอ..
จากนั้นให้เขาเป็นของเขาเอง..อย่าเรียนรู้มาก อย่าจดจำเป็นสัญญาจำได้หมายรู้มากไป ยิ่งมากยิ่งหาความสงบไม่เจอ
หาความสงบให้พบก่อน (สมถะ) จะมาร่ำเรียนไตรปิฏกที่หลังก็ไม่สาย
เรียนแล้ว เข้าใจแล้ว เข้าใจหลักเข้าใจเกณฑ์แล้ว จะนำไปใช้ต่อสู้ห่ำหันกับกิเลสในภูมิวิปัสสนาก็ว่ากันไป
เพราะสมถะแข็งแรงดีแล้ว จึงมีความปลอดภัยพอสมควรที่จะก้าวเข้าสู่ภูมิชั้นสูงต่อไป
------------------------------------------------------------------
เท่านี้เองครับสำหรับการภาวนา ไม่มีอะไรมากกว่านี้เลย
ทำไปเรื่อยๆ นานวันเข้า จะเข้าใจได้เองว่า
จิตเห็นจิต สติเห็นจิต จิตเห็นสติ สติเห็นสติ มีสภาพเป็นเช่นไร
ต่างคือตัวเดียวกัน
จบแค่ไหนจริงๆ สำหรับการภาวนา
------------------------------------------------------------------
(ต้องขออภัยน่ะครับ เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ของผู้น้อยผู้ปฏิบัติแต่เพียงเบื้องต้นคนหนึ่ง หากไม่ถูกจริตกับนักปฏิบัติท่านใด ต้องกราบขออภัยไว้ ณ ทีนี้ด้วยครับ)
------------------------------------------------------------------
|