ลุงสิทธิ์ได้ทราบเรื่องราวชีวิตของพระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งมีปฏิปทาที่น่าเคารพเลื่อมใส จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นเครื่องเจริญศรัทธาและกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
พระหนุ่มรูปนี้ บวชในสายวัดป่าเมื่อตอนมีอายุครบบวช โยมพ่อโยมแม่มิได้เป็นผู้มีศรัทธาในพระศาสนา แต่ถึงกระนั้นก็มิได้ขัด เมื่อท่านบวชมาได้ปีเศษโยมพ่อถึงแก่กรรม โยมแม่ประสงค์จะให้ท่านสึกไปช่วยประกอบธุรกิจการงาน ท่านลังเลใจอย่างมาก เพราะใจท่านรักในผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่อยากสึกเลย แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารโยมแม่
เรื่องที่จะต้องสึกนี้ทำให้ท่านทุกข์ใจมาก ท่านเล่าว่า ตอนที่คิดจะสึก ท่านลังเลใจ เดินไปหาพระอาจารย์ให้ท่านสึกให้ พอจะถึง ก็เปลี่ยนใจเดินกลับออกมาอีก เป็นอย่างนี้อยู่ร่วมสิบรอบ ใจเจ้าของต่อสู้กันอยู่ตลอด ใจหนึ่งก็ไม่อยากสึก อีกใจหนึ่งอยากสึกไปช่วยโยมแม่
ในระหว่างที่ยังไม่สามารถยุติว่าจะสึกหรือไม่สึกนั้น คืนหนึ่ง ท่านฝันว่าท่านได้ลาสิกขาเรียบร้อยแล้ว ท่านตกใจตื่น เมื่อเห็นว่าตัวเองยังห่มจีวร และเห็นบาตร ท่านดีใจมาก คว้าเอาบาตรมากอดไว้พร้อมกับร้องไห้ ในที่สุดท่านก็ไม่อาจลาสิกขาในครั้งนั้น
ต่อมาอีกราวปีเศษ ก็มีข่าวที่ทำให้ท่านต้องทุกข์ใจอย่างแสนสาหัสนั่นก็คือ ข่าวโยมแม่เสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน ท่านโทษตัวเองอยู่หลายปี พูดกับตัวเองซ้ำ ๆ ว่า หากท่านสึก โยมแม่คงไม่เสียชีวิต
จากนั้น ท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อย ๆ บางครั้งเดินตากฝนตัวเปียก ก็เดินต่อไปจนกระทั่งตัวแห้ง ส่วนใหญ่เดินไปในชนบทที่เป็นถนนลูกรัง ท่านว่าในระหว่างทาง มีโยมคนหนึ่งถามท่านว่า "ท่านเดินธุดงค์ไปทำไมครับ” ท่านอึ้งไป เพราะท่านเองก็ไม่เคยพิจารณาในเหตุผลของการเดินธุดงค์ ครั้งนั้น โยมที่ถามท่าน เป็นผู้ตอบแทนท่านว่า เพื่อฝึกความอดทนใช่ไหมครับ
ภายหลังจากผ่านการธุดงค์ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ท่านได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างตั้งแต่การตระเตรียมสิ่งของเครื่องธุดงค์ ท่านว่า ทีแรกก็ว่าอันนั้นก็จำเป็น อันนี้ก็จำเป็น แต่พอเดินจนเหนื่อยล้า ก็ต้องสละออก ๆ เหลือแต่สิ่งที่เรียกว่า "จำเป็นต่อการดำรงชีพจริง ๆ" ซึ่งเหลือเพียงไม่กี่อย่าง
ท่านเล่าว่า ตอนที่เดินจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้น แค่รองเท้าที่ใส่อยู่ ก็รู้สึกว่ามันหนักมาก หนักจนต้องสละออก แต่ภายหลังถอดรองเท้าทิ้ง เดินไป ๆ รู้สึกว่าเท้าเริ่มพอง ก็เลยต้องเดินย้อนกลับมาเอารองเท้าคืน แล้วพูดขำ ๆ กับตัวเองว่า “รองเท้าก็เป็นของจำเป็นนะ”
ในช่วงที่มาทำกายภาพรักษาอาการกระดูกทับเส้นประสาทที่กรุงเทพฯ แม้จะมีโยมเอื้อเฟื้อที่บ้านของโยม แต่ด้วยความที่ต้องการทำกิจของสงฆ์และข้อวัตรต่าง ๆ มีบิณฑบาต สวดมนต์ทำวัตร และการเจริญสมาธิภาวนา เป็นต้น ท่านจึงขวนขวายไปพำนักที่วัดธรรมยุติแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ท่านต้องแปลกใจเมื่อเห็นพระจับเงิน ใช้เงิน เป็นเรื่องปรกติ แถมยังฉันอาหารในกุฏิชนิด ๒๔ ชม. เลย พอท่านจะออกบิณฑบาต ก็มีเสียงเตือนจากพระอาวุโสว่า "ไม่ต้อง ๆ พระบวชใหม่เท่านั้นที่ออกบิณฑบาต พระเก่าไม่ต้อง" พอท่านจะไปทำวัตรสวดมนต์ ก็มีเสียงเตือนอีกว่า "ไม่ต้อง ๆ พระบวชใหม่เท่านั้นที่ทำวัตรสวดมนต์ พระเก่าไม่ต้อง"
สิ่งที่เป็น “ข้อวัตรที่งดงาม” ของท่าน ก็คือ การวางใจหรือทัศนะของท่านต่อเรื่องนี้ ท่านว่า ท่านไม่ได้มาเพื่อจับผิดใคร พระทุกรูปที่นี่ล้วนมีน้ำใจกับท่าน ท่านเลือกที่จะปรารภความเพียรในยามที่พระเณรที่วัดหลับแล้ว และทำข้อวัตรต่าง ๆ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด ชนิดที่มิให้สุ่มเสี่ยงกับคำว่า “อวดเคร่ง”
เหล่านี้แหละ คือ อีกหนึ่งความงดงามในการรักษาข้อวัตรปฏิบัติเยี่ยงพระกรรมฐานอย่างที่บุรพาจารย์พาทำ |