ใครที่ยังสงสัยถึงความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างสมถะและวิปัสสนา รวมทั้งแนวทางการวางตัวต่อการปฏิบัติธรรมในระยะยาวควรเป็นอย่างไร เชิญศึกษาจากโอวาทของท่านพุทธทาสภิกขุเรื่อง "การดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง" ซึ่งมีความไพเราะในอรรถะและอุปมาธรรมมากที่สุดตอนหนึ่งทีเดียวครับ
"...เราจะเรียนรู้เรื่องอะไร เรื่องขันธ์ เรื่องธาตุ เรื่องอายตนะ เรื่องอริยสัจ เรื่องอะไรทั้งหมด ทุกเรื่องมันก็สรุปรวมอยู่ที่ว่าเพื่อการ "ดำรงจิตไว้อย่างถูกต้อง" จะดำรงจิตอย่างไร รายละเอียดก็มีมาก ...ทีนี้ก็จะเปรียบด้วยอุปมาให้จำง่ายและเข้าใจง่ายได้อีกสักคำหนึ่งว่าเหมือนกับ "ขี่จักรยานจิต"
ขอให้ทุก ๆ คนเข้าใจ ทำในใจให้เหมือนกับขี่รถจักรยานจิต ทำไมจึงเปรียบกับการขี่รถจักรยาน เพราะมันคล้ายกันมาก เกือบจะทุกอย่างทุกประการ นับตั้งแต่ว่าการขี่รถจักรยานนั้นมันก็มีที่หมายปลายทางว่าจะไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง คือความหมดทุกข์ ดับทุกข์สิ้นเชิง ที่เรียกว่าพระนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง
รถจักรยานจะขี่ได้ ขี่ไปได้นั้น มันมีความหมายสองความหมายซ้อนกันอยู่ คือ (๑) ควบคุมรถจักรยานได้ ไม่ให้ล้ม นี่ตอนหนึ่ง แล้วก็ (๒) ออกแรงทำให้มันวิ่งไป แล่นไป เคลื่อนที่ไป นี่อีกตอนหนึ่ง
ถ้ามันล้มก็ไปไม่ได้ ถ้าไปได้ก็คือไม่ล้ม และที่ไม่ล้มและไปได้ มันเนื่องกันอย่างจะแยกกันไม่ออก ...ไอ้การที่มันไม่ล้มและไอ้การที่มันจะพุ่งไปข้างนั้นมันแฝดกันอยู่
เรื่องขี่จักรยานจิตก็เหมือนกัน ต้องทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่เหมือนลักษณะที่เป็นสมาธิ และให้มันพุ่งไปข้างหน้า คือรู้แจ่มแจ้งในอะไรได้ไกลออกไป จึงเป็นลักษณะของวิปัสสนาหรือปัญญา
เรื่องจิตแบ่งเป็น ๒ ตอน ตอนสมาธิหรือสมถะ คุมจิตให้อยู่ในอำนาจและตั้งมั่นอยู่ได้ พร้อมที่จะทำงานของมัน แล้วก็เป็นขั้นต่อไปคือ วิปัสสนาหรือปัญญา ที่มันจะแล่นไปด้วยกระแสความรู้ รู้ ๆ ๆ ๆ จนถึงที่สุด มันก็หลุดพ้นและปล่อยวาง นี่มันเหมือนกันอย่างนี้
...ลำพังสองล้อมันตั้งอยู่ไม่ได้ มันล้มง่าย มันล้มเก่ง แล้วก็ต้องบังคับ บังคับยาก จิตนี่ก็เหมือนกัน มันล้มง่าย คือมันฟุ้งซ่าน ออกนอกลู่นอกทางง่าย คือมันบังคับยาก จึงเปรียบกับรถจักรยานมันล้มง่ายอย่างไร จิตก็ล้มง่ายอย่างนั้น เราต้องฝึกฝนบังคับมันจนกว่าจะบังคับมันได้และขี่มันได้
และที่เหมือนกันอีกข้อหนึ่งเป็นข้อสุดท้ายซึ่งสำคัญมากก็คือข้อที่ว่า มันสอนกันไม่ได้ ให้คนอื่นสอนไม่ได้ ต้องสอนด้วยตนเอง ด้วยตัวมันเอง นี่คนอื่นไม่ค่อยเชื่อ หาว่าคนพูดนี่โง่ หลับตาพูด
คือเราบอกเขาว่า การขี่รถจักรยานนั้นมันสอนกันไม่ได้ ไอ้คนโง่นั้นมันก็เถียงว่า อ้าว ก็มีคนช่วยจับ ช่วยยึด ช่วยแนะ ช่วยอธิบายตอนแรกก่อนมิใช่หรือ เราก็บอกว่านั่นมันก็จริง แต่มันไม่สำเร็จประโยชน์ การสอนนั้นไม่สำเร็จประโยชน์ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าทำอย่างไร ก็สอนให้เสร็จ อธิบายให้เสร็จ ก็ให้ขึ้นขี่ มันก็ล้มเท่านั้น ...นี่จะสอนกันอย่างไรก็สอนกันไม่ได้ จะให้มีใครสอนให้เราจับมือของรถแล้วทำให้เกิดบาลานซ์ถูกต้องไม่ล้ม นี่ทำไม่ได้
ขอให้เข้าใจตอนนี้ให้มาก ๆ อย่าไปโง่เหมือนคนบางคนหรือคนแทบทั้งหมด มันหวังจะให้คนอื่นสอนเรื่อยไป จะฟังจะเรียนไปเสียตะพึด ไม่พยายามที่จะสอนตัวเองให้รู้ตัวเอง
ถ้าถามว่าการจะขี่รถจักรยานเป็น ใครจะสอนให้ เราก็ต้องบอกว่ารถจักรยานนั่นแหละสอนให้ การล้มของรถจักยานนั่นแหละเป็นสิ่งที่สอนให้ ถ้าล้มไปทีหนึ่ง มันก็สอนให้ทีหนึ่ง ถ้าล้มอีกทีหนึ่ง ก็สอนอีกทีหนึ่ง จนรู้จักทำความสมดุล ไม่ล้ม ทีนี้ก็ไปได้งอกแงกๆ เหมือนคนเมา
ทีนี้ใครจะสอนได้อีก การที่จะขี่เรียบไปมันไม่มีใครสอนได้นอกจากรถจักรยานนั่นเอง การที่มันไปงอกแงก ๆ มันสอนให้ทุกทีจนกระทั่งเรารู้จักทำให้มันสมดุล มันก็ไม่งอกแงก มันก็ไปเรียบ รู้จักใช้กำลังผลักดัน ถีบให้มันพอดีกันกับการที่จะบังคับมือสองข้างให้มันสัมพันธ์กันดี เหมาะสมกันดี แล้วมันก็ขี่ไปได้เรียบตามต้องการ
...เรื่องฝึกจิตก็เหมือนกัน อย่าไปคิดว่าใครมันจะสอนกันได้ มานั่ง จับ จูง อะไรกันอยู่อย่างนี้ ก็ได้แต่บอกเรื่องว่าจะต้องทำอย่างไร เหมือนกับแนะนำให้จับรถจักรยานอย่างไร ถีบอย่างไร อะไรอย่างนั้น แนะได้บ้าง ไม่ใช่แนะไม่ได้เสียเลย แต่มันไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลยเพียงการแนะนั้น
(ขอพักโอวาทตอนที่ ๑ ไว้เพียงนี้ก่อนนะครับ) |