คำว่า พรรษา แปลว่า ฤดูฝน ปีหนึ่งก็ผ่านฤดูฝนครั้งหนึ่ง คนที่อยู่มาเท่านั้นฝนเท่านี้ฝนก็คืออยู่มาเท่านั้นปี ดังนั้น ในที่ทั่วๆ ไป จึงแปลพรรษากันว่า ปี
คำว่า เข้าพรรษา ก็คือ เข้าฤดูฝน คือถึงเวลาที่จะต้องหยุดการเดินทางในฤดูฝน พักอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ โดยไม่ไปแรมคืนที่อื่น เพราะเหตุนี้ จึงมีคำเกิดขึ้นอีกคำหนึ่งคือคำว่า จำพรรษา
คำว่า จำพรรษา ก็คือ อยู่วัดประจำในฤดูฝน หมายความว่า พระสงฆ์จะต้องอยู่ในวัดที่ตนอธิษฐานพรรษาตลอดสามเดือนในฤดูฝน จะไปแรมคืนที่อื่นไม่ได้ นอกจากมีเหตุจำเป็น
คำว่า วันเข้าพรรษา ก็คือ วันที่พระสงฆ์ทำพิธีอธิษฐานพรรษา ซึ่งเป็นวันแรกของการจำพรรษานั่นเอง
“อธิษฐาน” แปลว่า ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไป “อธิษฐานพรรษา” ก็คือ ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไปว่าจะอยู่ประจำ ณ ที่นั้นตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน
กาลที่นิยมว่าเป็นฤดูฝน ที่เรียกในบาลีว่า วสฺสาน นั้น มีกำหนด ๔ เดือน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ การจำพรรษาของพระสงฆ์มีกำหนด ๓ เดือน การจำ พรรษานั้น มี ๒ ระยะ ระยะแรกเรียกว่า ปุริมพรรษา แปลว่า พรรษาแรก หรือ พรรษาต้น เริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ระยะหลังเรียกว่า ปัจฉิมพรรษา แปลว่าพรรษาหลัง เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าปุริมพรรษา วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ เป็นวันเข้าปัจฉิมพรรษา
ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือเพิ่มเดือน ๘ เข้ามาอีกเดือนหนึ่ง เป็นแปดสองแปด ในปีนั้นให้ถือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง เป็นวันเข้าปุริมพรรษา
การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตวันเข้าพรรษาไว้ ๒ วัน คือ วันเข้าปุริมพรรษา และวันเข้าปัจฉิมพรรษานั้น ก็เพื่อให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวันเข้าปุริมพรรษาไม่ทันด้วยเหตุจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันเข้าปัจฉิมพรรษา
การจำพรรษา และวันเข้าพรรษา ถึงจะมีเป็นสองอย่างก็จริง แต่ที่ถือเป็นสำคัญและปฏิบัติกันโดยทั่วไปนั้นก็คือ วันเข้าปุริมพรรษา ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ และไปครบสามเดือนในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน
ท้ายฤดูฝน สำหรับเตรียมตัวเพื่อเดินทางไปในที่ต่างๆ ต่อไป ฉะนั้นในทางปฏิบัติ เมื่อพูดถึงวันเข้าพรรษา ก็หมายถึงวันเข้าปุริมพรรษานั่นเอง
มูลเหตุที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา
กล่าวความตามบาลี วัส-สูปนายิกาขันธกะ คัมภีรค์มหาวรรค พระวินัยปิฎก๑ ว่า ในมัชฌิมประเทศสมัยโบราณคืออินเดียตอนเหนือ เมื่อถึงฤดูฝนพื้นที่ย่อมเป็นโคลนเลนทั่วไป ไม่สะดวกแก่การเดินทาง คราวหนึ่ง มีพระพวกที่เรียกว่าฉัพพัคคีย์ คือเป็นกลุ่มมี ๖ รูปด้วยกัน ไม่รู้จักกาล เที่ยวไปมาทุกฤดูกาล ไม่หยุดพักเลย แม้ในฤดูฝนก็ยังเดินทาง เที่ยวเหยี่บย่ำข้าวกล้าหญ้าระบัดและสัตว์เล็กๆ ตาย คนทั้งหลายพากันติเตียนว่า ในฤดูฝนแม้พวกเดียรถีย์และปริพาชกเขาก็ยังหยุด ที่สุดจนนกก็ยังรู้จักทำรังบนยอดไม้เพื่อหลบฝน แต่พระสมณศากยบุตรทำไมจึงยังเที่ยวอยู่ทั้งสามฤดู เหยียบย่ำข้าวกล้าและต้นไม้ที่เป็นของเป็นอยู่ และทำสัตว์ให้ตายเป็นอันมาก
ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ในฤดูฝนในที่แห่งเดียวเป็นเวลา ๓ เดือน เรียกว่า จำพรรษา ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์จึงต้องจำพรรษา และมีวันเข้าพรรษาสืบมาจนบัดนี้
สถานที่ที่พระสงฆ์จำพรรษานั้น พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่กลางแจ้ง ในโพรงไม้ และในตุ่มหรือในหลุมขุด ซึ่งไม่ใช่เสนาสนะคือไม่ใช่ที่อยู่ที่อาศัย
ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในกุฏิที่มุงที่บังมีหลังคาและฝารอบขอบชิด อยู่ให้ครบ ๓ เดือน ถ้าอยู่ไม่ครบ ๓ เดือน หลีกไปเสีย พรรษาขาดและต้องอาบัติคือมีโทษ แต่เป็นโทษขนาดเบา เรียกว่าอาบัติทุกกฏ ถ้ามีภัยอันตรายเกิดขึ้น จะอยู่ในที่นั้นไม่ได้ เช่น น้ำท่วม หรือชาวบ้านถิ่นนั้นอพยพไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น อนุญาตให้ไปในระหว่างพรรษาได้ ไม่เป็นอาบัติ หรือมีกิจจำเป็นที่จะต้องไปแรมคืนที่อื่น เช่น กิจนิมนต์ กิจเกี่ยวกับพระศาสนา ตลอดจนพระอุปัชฌาย์อาจารย์อาพาธ เป็นต้น อนุญาตให้ไปด้วย "สัตตาหกรณียะ" คือกิจที่ไปทำแล้วกลับมาให้ทันภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด
(จาก หนังสือ วันสำคัญของชาวพุทธไทย พิมพ์ครั้งที่ ๓)
-------------------------------------------------------------
สัตตาหกรณียะ
ถาม : มีพระฝากกราบเรียนถามว่า การสัตตาหกรณียะ ในกรณีที่พระไปเรียนหนังสือ ซึ่งจะต้องลาไป ๕-๖ วัน จะทำได้ไหม และในอีกกรณีหนึ่ง คือ การไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ในช่วงเข้าพรรษาแต่ไม่เกิน ๗ วัน จะได้หรือไม่ ซึ่งในกรณีหลังนี้ มีพระมหาเถระระดับสมเด็จ เคยถือปฏิบัติมาว่า ท่านไม่สัตตาหะเกี่ยวกับธุระการรักษาตัวเช่นนี้ โดยให้เหตุผลว่า เรื่องสัตตาหกรณียะนี้ เป็นกรณียกเว้นเพื่อกิจของผู้อื่นหรืองานพระศาสนามิใช่เพื่อกิจธุระของตัวเองถ้าตนเองมีความจำเป็นเช่นนนั้กจ็ะต้องสละสิทธิที่จะพึงได้จากอานิสงส์การจำพรรษาไป
ตอบ: ตามที่ถามไป ก็ตอบได้ว่า ถ้าเคร่งครัดตามพระพุทธานุญาต ก็เป็นอย่างที่สมเด็จท่านว่านั่นแหละ เพราะพระพุทธานุญาต มีแต่ เรื่องให้ไปได้เพื่อกิจหรือประโยชน์ของผู้อื่น ตามที่ทรงระบุไว้ คือ
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔/๒๑๐/๒๗๓ ว่า:
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ พวก ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต; บุคคล ๗ พวก คือ
ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา (สหธรรมิก ๗)...
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔/๒๑๑/๒๘๑ ว่า:
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๕ พวก แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขาส่งทูตมา
สหธรรมิก ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี (สหธรรมิก ๕)...
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔/๒๑๒/๒๙๐ ว่า:
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ พวก แม้มิได้ส่ง ทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา บุคคล ๗ จำพวก คือ
ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี มารดา บิดา ...
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔/๒๑๓/๒๙๑ ว่า:
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปได้เพราะกรณียะของสงฆ์ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน...
............................................
สำหรับเรื่องส่วนตัว ตามพุทธานุญาต มีแต่ว่า (๔/๒๑๔/๒๙๒) เมื่อเกิดเหตุจำเป็น เช่น มีสัตว์ร้าย ไฟไหม้ น้ำท่วม โจรปล้น ขาดแคลนหรือลำบากในเรื่องอาหาร ให้ไปได้ โดยขาดพรรษา แต่ไม่ต้องอาบัติ
ในอรรถกถามีบอกด้วยว่า (วินย.อ.๓/๑๖๑) มีบาลีมุตตก วินิจฉัยในเรื่องรัตติเฉทว่า ย่อมไม่ได้ เพื่อจะไป แม้เพื่อประโยชน์แก่อุเทสและปริปุจฉา เป็นต้น
(นี่คือไปเล่าเรียนโดยเป็นกิจส่วนตัว ก็ไม่ได้, จะเห็นทางได้ ก็คือ อุปัชฌาย์อาจารย์เรียกตัวให้มาเรียน)
พระพรหมคุณาภรณ์
๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๔
(เข้าพรรษา ๒๕๕๕ ปีนี้เป็นปีอธิกมาส จึงถือเอาวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง เป็นวันเข้าพรรษา ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓ สิงหาคม)