luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........  (Read: 199494 times - Reply: 203 comments)   
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
« Thread Started on 12/8/2555 0:21:00 IP : 180.183.226.116 »
 

คำถาม-คำตอบ (๑)  ปัญหาธรรม โดยหลวงตาพระมหาบัว 

สวัสดีค่ะทุกท่าน พอดีคนแอบอ่าน ไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ ถาม-ตอบ เป็นหนังสือที่องค์หลวงตาพระมหาบัว

ตอบคำถามที่มีผู้ถามปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 คนแอบอ่านตั้งใจว่า หากมีเวลาว่างจะนำมาพิมพ์ให้อ่าน

เป็นระยะๆ ต่อเนื่องกันไป

 

และเนื่องจากวันนี้เป็น "วันแม่" จึงขอนำเรื่องนี้มาลงในวันแม่ เป็นเรื่องแรกค่ะ

 

ถาม

 
หนูมีปัญหาที่ต้องการกราบรบกวนหลวงตา หนูคิดอยู่นานเหมือนกัน ไม่ค่อยอยากรบกวนหลวงตา

เพราะได้ทราบว่าสุขภาพหลวงตาไม่ค่อยดี แต่สถานการณ์มันเลวลงทุกวัน จึงทำให้หนูตัดสินใจ

เขียนมารบกวน


หนูและพี่สาวดูแลคุณแม่อายุ 84กว่าแล้ว ท่านเป็นโรคอัมพฤกษ์ (ร่างกายซีกขวาไม่ทำงาน)มา2ปีแล้ว

และเราก็ตั้งใจจะดูแลท่านจนกว่าชีวิตท่านจะถึงที่สุด แต่แม่เรียกร้องมากโดยเฉพาะเรื่องกิน คุณแม่

ทานตลอดเวลา เรียกให้ป้อนอาหารแทบทุกครึ่งชั่วโมง และทานครั้งละคำสองคำก็บอกพอ ท่าน

เลือกสรรอาหารจนแทบจะหมดปัญญาสรรมาให้ บ่อยครั้งที่ให้อาหารเคยชอบกลับไม่ทาน จะทานอีกอย่าง

ซึ่งไม่ใช่ว่าจะหาได้ทุกครั้งไปเป็นอย่างนี้มาตลอด 2ปี จนลูกเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อมากเข้าก็กลายเป็นโทสะ

ระยะหลังนี้หนูและพี่สาวดุคุณแม่บ่อยซึ่งทุกครั้งที่ดุ หนูก็ไม่สบายใจ เสียใจตนเองทุกครั้ง ตั้งใจว่าจะทำดีๆ

กับท่าน แต่พอเข้าไปหาท่านได้เห็นพฤติกรรมของท่านก็อดโกรธไม่ได้

 

หลวงตาคะ ทำอย่างไรแม่ถึงจะกวนน้อยลง หรือตอนเด็กๆหนูจะตื๊อท่านมาก แต่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

หนูเลี้ยงง่ายที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด หรือชาติก่อนๆหนูเคยกวนท่านมาก หนูไม่อยากดุ ไม่อยากโกรธ

แม่เลย หนูกลัวตกนรก และจริงๆหนูก็รู้ว่าแม่มีความทุกข์ และหนูก็พยายามช่วยท่าน แต่ท่านไม่ยอม

รับรู้อะไรเลย นอกจากท่านจะทำตามต้องการของท่านเท่านั้น ท่านไม่ยอมรอคอยอะไรด้วย ถ้าจะทานอะไร

จะต้องนำมาให้ท่านเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่ได้ท่านจะโวยวายอยู่นั่นจนกว่าจะได้ตามต้องการ พอได้ทานแต่2คำ

แล้วสั่งให้เอาไปเก็บ อีก10-15นาทีก็จะเรียกทานของอย่างอื่นต่อไป กลางคืนก็ทาน แต่ก่อนเกรงใจ

ไม่เรียกไม่ปลุกเดี๋ยวนี้ท่านเรียกทุกเวลา

 

หลวงตาได้โปรดชี้แนะหนูด้วย หนูยอมรับว่าหนูเป็นลูกที่ไม่ดี ดูพ่อดุแม่(ทั้งๆที่ไม่อยากดุ)หลวงตา

จะดุด่าหนูก็ได้ค่ะขอแต่เพียงช่วยให้แม่กวนน้อยลง เลี้ยงให้ง่ายๆหน่อย หรือให้หนูมีใจเยือกเย็น

อดทนต่อพฤติกรรมของแม่ได้ หนูกราบขอบารมีหลวงตาด้วย สมาธิหนูตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่

หนูพยายามนำเรื่องแม่มาพิจารณาเหมือนกันก็ยังไม่ได้ผล หนูไม่อยากทำเวรทำกรรมกับพระอรหันต์ของหนู

และหนูก็ตั้งใจที่จะตอบแทนพระคุณท่านจนถึงที่สุด

 

ตอบ


แม่เป็นคนป่วย เราเป็นคนดีปกติ ไม่ควรแสดงกิริยาผิดปกติต่อคนไข้ซึ่งไม่ปกติในธาตุขันธ์และจิตใจ

การขอรับประทานบ่อยและการเอาตามใจตัวเอง นั่นเป็นอาการระบายความทุกข์ทรมานของคนป่วย

แต่ละครั้งแต่ละอาการต่อลูกๆ ผู้เป็นคนดีปกติทางธาตุขันธ์ จึงควรเห็นใจให้ความอบอุ่นแก่ท่าน

ท่านหวังพึ่งลูกๆทุกอย่างทั้งเป็นทั้งทุกข์ทั้งตาย ไม่มีที่พึ่งไม่มีที่เรียกร้องนอกจากลูกๆของตนเท่านั้น

  

คนอื่นก็เป็นคนอื่นแม่ก็ทราบว่าเป็นคนอื่น จึงไม่รบกวนใครๆนอกจากลูกๆของตนเท่านั้น พระคุณของแม่

ล้นฟ้าล้นแผ่นดินที่ควรเทิดทูนสุดหัวใจ แต่คุณของความโมโหโทโสความดุด่านั้นไม่มี นอกจากมี

แต่โทษล้วนๆของมันเท่านั้น จึงไม่ควรเอาความดุมาแข่งพระคุณของแม่ต่อไปอีก ที่เป็นมาแล้วก็ควร

ยอมรับว่าผิดต่อแม่ ความโมโหความดุจะหมอบหัวลง ไม่โผล่หัวขึ้น แผ่พังพานต่อสู้กับผู้มีพระคุณล้นฟ้า

อีกต่อไป อาหารที่หามาให้ท่านไม่ทันหรือหามาไม่ได้ ก็บอกท่านโดยดีว่าไม่ทันไม่ได้ พร้อมกับ

การแสดงกิริยานุ่มนวลต่อท่านสมกับเราเป็นลูกผู้ดีของท่านที่ไว้ใจ ลงใจในเราจนฝังใจชนิดถอนไม่ขึ้น

  

จงเมตตาท่านสุดหัวใจตลอดไป อย่านำยาพิษคือกิริยาไม่ดีและดุด่ามาเป็นคู่แข่งพระคุณท่าน

และเผาลนท่านให้แสลงตาแสลงใจได้ทุกข์เพราะเราอีกต่อไป

 

เรากวนท่านตอนอยู่ในห้อง ตกคลอกออกมา เวลายังเด็กยังเล็กจนรู้เดียงสาและบัดนี้ กวนมาก ยุ่งมาก

วุ่นวายท่านมาก ไม่มีใครยุ่งวุ่นวายเกินลูกๆ ยุ่งวุ่นวายพ่อ – แม่ กรุณาทบทวนให้ละเอียดระหว่างเรา

กับแม่กวนกัน วุ่นวายกันเรื่อยมา ความดุความต่ำที่เคยมีในตัวเรากับแม่จะไม่เป็นคู่แข่งกันอีกต่อไป

จะมีแต่ความเมตตากรุณาอันเป็นธรรมความชุ่มเย็นล้วนๆ ต่อกันจนอวสาน


                                    *******

    

    "สุขสันต์วันแม่ทุกท่าน" ค่ะ 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
จำนวนข้อความทั้งหมด:  88
 First page 
<
3
4
5
6
7
8
9
>
แสดงความคิดเห็น
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 71  « on 18/1/2557 16:20:00 IP : 180.183.224.112 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


 

        มีคนเขาว่าการปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องทำสมาธิก่อนก็ได้ แต่ให้พิจารณาแล้วค่อยกลับมาทำสมาธิทีหลัง อย่างนี้จะถูกต้องไหมค่ะ

       นั่นคนเขาบอก ที่นี่พระพุทธเจ้าบอกนะ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา. ปญฺญา ปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ. ทำจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นและอิ่มตัวแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา ปัญญาเมื่อใจมีความอิ่มตัวย่อมไม่ระเหเร่ร่อน ไม่หิวโหยวอกโน้นวอกนี้ โยกๆ คลอนๆ ให้พิจารณาอะไรก็พิจารณาตามนั้นเลยเพราะอิ่มตัว เพราะฉะนั้นการทำจิตใจให้มีความอิ่มตัวให้มีความสงบจึงเป็นบาทฐานของการพิจารณาโดยไม่ต้องสงสัย หายสงสัยหรือยังที่ว่าพิจารณาเสียก่อนแล้วค่อยมาเอาสมาธินั่น เอานิพพานเสียก่อนค่อยมาเอาเถอะสมาธิ สำหรับอาจารย์เองลงได้ไปนิพพานแล้วไม่กลับมาเอาแหละสมาธิ ยังจะมาเสียดายอยู่หรือสมาธินี่ว่ะ

                   มีคนที่พูดอย่างที่ว่าน่ะ เห็นใจเหมือนกันเพราะเราก็เคยผ่านโลกมานาน บางรายก็บอกว่าเอาพิจารณาไปเลย ไม่ต้องมาฝึกสมาธิให้เสียเวล่ำเวลาแหละ พิจารณาไปเลย มันเลยไปไหน....ก็มีแต่ลงคลองเท่านั้นแหละ ไม่เลยไปไหนแหละถ้าเราเก่งกว่าครูแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ แต่เรามันเก่งกว่าครูใช่ไหมล่ะ เราไม่ต้องฝึกละเรื่องสมาธินี่ มันเหมือนกับว่าล้าสมัย เอานิพพานเลย....มันไม่ได้เรื่องนิพพานก็ไม่ได้เรื่อง มีเยอะอย่างนี้น่ะ

                   พระพุทธเจ้าท่านทำมาก่อนแล้ว สมควรอะไรๆ ท่านแนะไว้ตามที่ท่านได้รู้ได้เห็นจากการดำเนินของท่านมาแล้วทั้งนั้นจึงไม่มีผิด สมกับธรรมบทว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว พวกเราไม่เคยทำ เรื่องอยากได้ อยากได้เลย มองดูแต่ผล เหตุไม่ทราบว่าเป็นยังไง เช่น ผลไม้ต้นนี้ทำไมมันดกนามันมากนักนา มันเป็นยังไงนี่ เราไม่ดูลำต้นของมัน ไม่ดูพื้นฐาน ไม่ดูอาหารของมัน ว่ามีอะไรถึงได้ดกนักดกหนา เราไปดูแต่ดอกแต่ผลไม่ได้ดูเหตุ นี่ก็เหมือนกัน เรามองดูแต่นิพพานโน่น ก็ไม่ทราบว่าพื้นฐานที่จะเป็นนิพพานหรือปุ๋ยที่จะให้เกิดพระนิพพานคืออะไร ถ้าไม่ดูสมาธินี้จะดูอะไร ปุ๋ยสำคัญคือสมาธินี่ละ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 72  « on 23/1/2557 19:52:00 IP : 180.183.68.18 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


             เจ้าหน้าที่ส่วนมากที่มาอบรมเที่ยวนี้ เวลาฟังนี่จิตใจไม่ค่อยจะมาอยู่ในบทเรียน จะมีวิธีการยังไงที่จะเรียกให้มาจดจ่ออยู่ที่เดียว คือเวลานั่งฟังนี้ให้อยู่ทั้งกายทั้งใจด้วย

             เวลาไปฟังระบำรำโป๊ มันไปอยู่ที่ไหนล่ะ ตอนนั้นอยู่กับตัวดีหรือ ไม่เห็นพูดตอนนั้นให้ฟังบ้าง ตะกี้นี้ก็พูดถึงการรักษาจิต มันจะเหนือสติปัญญาของเราไปได้เหรอ นั่นพูดแล้ว ความเพลิดความเพลินฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่เป็นประโยชน์ มีแต่ความเสียหายแก่ตน รั้งเข้ามา เหยียบเบรกห้ามล้อ ไม่ใช่เหยียบคันเร่งให้มันลงคลอง ลงคลองจมไป รถขึ้นได้เราขึ้นไม่ได้ มีเท่านั้นเหรอ อยู่กับตัวแล้วเหรอที่นี่

            ที่จัดอบรมเที่ยวนี้ก็มีหลายฝ่าย ฝ่ายนันทนาการเป็นฝ่ายจัดกิจกรรมต่างๆ ให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม จัดให้มีกิจกรรมพิเศษขึ้น ก็เลยมีวิธีการหนึ่งที่จะเรียกจิตใจให้เข้ามาก่อนการอบรม โดยการเรียกสติให้ตัวเองกลับมาโดยการเข้าสมาธิ ก็เลยมาถามทางฝ่ายผม ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะทำได้แค่ไหนหรือไม่ 4-5 นาทีที่จะให้ปฏิบัติกันจะเหมาะสมเพียงใดหรือไม่

            การที่จะมานั่งภาวนารั้งจิต 5 นาทีนี่เราไม่คัดค้าน แต่กรุณาฟังอีกคำหนึ่ง ที่จะแทรกขึ้นมาในข้างๆ เคียงๆ กัน ตะกี้นี้ได้บอกว่าจิตจะเหนือสติปัญญาไปไม่ได้ มันคิดไปไหนรั้งเข้ามา เหยียบเบรกห้ามล้อเข้ามา พอคิดนั้นปุ๊บจิตห้ามเข้ามาให้หยุดที่ตรงนี้ นั่งภาวนาคือการบังคับจิต การจ่อดูจิตซึ่งเป็นตัวโจรตัวผู้ร้ายตัวทำลาย มันจะออกไปฉกนั้นขโมยนี้ ฉกนั้นขโมยนี้อย่างไร ไปขโมยรักเขาบ้าง ไปขโมยเกลียดเขาบ้าง ไปขโมยโกรธเขาบ้าง ซึ่งเป็นของไม่ดี เราห้ามจิตเข้ามาสู่จุดเดียว เช่น เราจะเอาคำบริกรรม พุทโธ ก็ตาม ธัมโม ก็ตาม สังโฆ ก็ตาม เพื่อเป็นหลักยึดของใจ ในขณะนั้นห้ามไม่ให้มันไปคิดอารมณ์อื่นนอกจากอารมณ์ที่เรามอบให้นี้เท่านั้น นี่ท่านเรียกว่าเป็นการหักห้ามจิตใจประเภทหนึ่ง ให้อยู่ในนี้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดีกว่าที่จะปล่อยให้เพ่นพ่านไปทำลายตัวเอง แล้วการนั่งสมาธิจะอธิบายให้ฟัง จะทำวิธีให้ดูนะ ท่านทั้งหลายค่อยไปทำต่อในบ้านนะ จะบอกวิธีเฉยๆ นี่ใครจะนั่งแบบนี้ก็ได้ ทีนี้จิตมันจะคิดไปไหน กำหนดให้มันอยู่ในหัวใจเรานี้ ให้รู้ สมมุติว่า พุทโธ ๆ ๆ ก็ให้รู้อยู่ในวงกายของเรานี้ จะรู้อยู่ข้างบนข้างล่างไม่ต้องสำคัญ แต่ขอให้รู้อยู่กับตัวของเรานี้เป็นสิ่งสำคัญ เช่น พุทโธ ๆ ให้รู้นี้

   มันจะคิดอะไรให้กำหนด พุทโธถี่ยิ๊บเพื่อห้ามไม่ให้มันมีขณะใดขณะหนึ่งที่สอดแทรกออกไปคิดข้างนอกได้ นี่เป็นวิธีการฝึกจิต   ทีนี้เวลาจิตของเราได้รับการฝึกอบรมหลายครั้งนี้มันจะอยู่นะ หากจะรู้ในตัวของมันรอบอยู่ในนี้ ไม่ออก นอกจากนั้นแล้วมันจะสว่างภายในนี่ พอมันส่องของมันนี่ปั๊บมันจะต้องสว่าง เหมือนกับตาของเรามองโน้นมันสว่างโน้น มองโน้นมันเห็นโน้นๆ มองนี้ เห็นนี้ มองปั๊บเข้าไปนี้มันก็เห็นนี้ จิตก็เหมือนกันส่งไปโน้นก็รู้โน้น ส่งโน้นก็รู้โน้น ส่งเข้ามาปั๊บรู้นี้แล้วจิตของเราก็สงบเย็น นี่วิธีหนึ่งให้ท่านทั้งหลายไปพิจารณา นะ ให้ไปปฏิบัติ ท่านทำอย่างนี้ละ

  พระกรรมฐานท่านภาวนาของท่าน พระพุทธเจ้าที่เราได้เปล่งวาจาถึงท่านว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านฝึกทรมานท่านได้เป็นศาสดาองค์เอก เพราะเหตุนี้ พระสงค์สาวกท่านฝึกทรมานท่านฆ่ากิเลสความวุ่นวายทั้งหลายภายในจิตใจให้ราบไปหมดเหลือความบริสุทธิ์ล้วนๆ เกิดที่ตรงนี้ด้วยวิธีนี้ จึงได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราคำว่า ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ธรรมเกิดขึ้นแล้วแก่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นที่ใจซึ่งได้ฝึกฝนทรมานเรียบร้อยแล้วนี้

ให้เอาวิธีการที่สอนนี้ไปปฏิบัติตัวเองนะ แล้วเราจะเห็นความแปลกประหลาดขึ้นที่ตัวของเรา ซึ่งแต่ก่อนมันเคยเถลไถลระเหเร่ร่อนหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ พอเราเหยียบเบรคปุ๊บเข้าไปด้วยสติด้วยปัญญาพิจารณาใคร่ครวญเหตุผลดีชั่วประการต่างๆ แล้วหักห้ามตัวเองนี้แหละ ความศักดิ์สิทธิ์ ความดีเด่นของเราจะเกิดที่ตรงนี้ สำคัญอยู่ตรงนี้แหละ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
พระสมโชค

Posts: 0 topics
Joined: 13/1/2557

ความคิดเห็นที่ 73  « on 25/1/2557 17:12:00 IP : 101.51.238.111 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 

คนปฎิบัติธรรมย่อมมีธรรมแล้วนำมาแสดงให้ผู้ไม่รู้ได้รู้ สาธุ

ลูกหลานหลวงปู่หลวงตาครูบาอาจารย์ย่อมไม่ทิ้ง

ธรรมอยู่ที่ใจไม่ใช่เงิน เอาใจเป็นใหญ่อย่าให้อะไรสำคัญยิ่งไปกว่าใจที่มีธรรม สาธุ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 74  « on 30/1/2557 20:12:00 IP : 180.183.22.171 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 

วันนี้เป็นวันครบรอบ 3 ปี วันละสังขารขององค์หลวงตาพระมหาบัว

และเป็นวันบุญประทายข้าวเปลือกด้วยค่ะ

เมื่อวานและวันนี้คนแอบอ่านได้ไปทำบุญที่วัดบ้านตาด มาค่ะ

และตอนรับพรวันนี้คนแอบอ่านได้แผ่เมตตาส่งบุญให้ครูธรรมทั้งสอง กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ

 และสมาชิกบ้านหลวงปู่อมยิ้มทุกท่านด้วยค่ะ

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ ทุกท่านค่ะ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 75  « on 31/1/2557 8:06:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 

กราบอนุโมทนาบุญกับพี่คนแอบอ่านในทุก ๆ กิจกรรมบุญครับ
สาธุ สาธุ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 76  « on 3/2/2557 19:43:00 IP : 180.183.17.209 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


           คืออย่างนี้ครับ เหยียบเบรคก็เหยียบแล้ว พยายามแล้วพยายามอีก แม้แต่การระงับสติอารมณ์ด้วยความตั้งใจว่าจะให้สงบ

ไม่ใช่เหยียบเบรคไม่ติดเครื่องเหรอ

ไม่ยอมอยู่ครับ

           เบรครถไม่ติดเครื่องนี้มันอยู่ของมันอยู่แล้ว คืออยู่กับกองมูตรกองคูถ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ก็นี่เราไม่เคยเหยียบไม่เคยห้าม ถ้าห้ามทำไมจะไม่อยู่ เวลาไปยังไปได้ทำไมห้ามไม่ได้ เราต้องคิดอย่างนั้นซิ ไปเหยียบเบรคตอนรถไม่ติดเครื่องจะเป็นท่าอะไร เวลานอนหลับครอกๆ จะไปห้ามมัน เวลานั้นมันไม่ได้ไปมันไปตอนเราไม่หลับต่างหากนี่ เหยียบเบรคตอนนั้นซิ ต้องหักห้ามตอนมันคึกมันคะนองซิ

           เอากันตรงนั้นแล้วจะเห็นฤทธิ์ของสติปัญญากับสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อเรา ถ้ามีแต่ปล่อยตาม ปล่อยตามแล้ว เราทั้งคนจะไม่มีศักดิ์ศรีดีงามอะไรเลย คนเราอยู่ด้วยความแพ้ นั่งอยู่ด้วยความแพ้ นอนอยู่ด้วยความแพ้ ไม่ว่าอิริยาบถใดอยู่ด้วยความแพ้ ไปที่ไหนมีแต่ความแพ้แล้วให้ตายเสียดีกว่ามนุษย์เรา ต้องมีชนะบ้างซิมันถึงเป็นศักดิ์ศรีของมนุษย์ อย่างเราไปเล่นกีฬาด้วยกันนี้แม้จะคำว่าเล่นๆ ก็ตาม ถ้าอะไรที่ไหน ๆ ก็มีแต่แพ้เขา ๆๆ ให้ตายเสียดีกว่า เพราะฉะนั้นคำว่าแข่งแล้วต้องให้มีแพ้มีชนะบ้าง ถ้าสมมุติคราวนี้แพ้ คราวหน้าให้ได้ชนะ อย่างนั้นบ้างซิ

                          (จากหนังสือ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตาพระมหาบัว พิมพ์ พ..๒๕๓๓)

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 77  « on 9/2/2557 9:32:00 IP : 180.183.68.97 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


                                                                                  เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

                                                                  เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๗

                                                          ดูหมิ่นในหลวงคือการทำลายหัวใจของชาติบ้านเมือง

 

                 นี่เริ่มพูดธรรมะให้ฟังนะ เอาหนังสือพิมพ์มาอ่าน พอดีเทศน์กัณฑ์หนึ่งพอดี เขาประมวลคดีความผิดต่อชาติบ้านเมือง ต่อบุคคล สังคม ตลอดถึงชาติบ้านเมืองทั้งแผ่นดิน เขาประมวลมา พูดตั้งแต่เรื่องความเสียหายของชาติบ้านเมืองทั้งแผ่นดิน มีหลายกระทงด้วยกัน เราจำไม่ได้กระทงอะไรบ้างก็ไม่รู้ละ เราจะยกหัวข้อให้ฟังที่เป็นความเสียหาย การดูหมิ่นในหลวงก็คือดูหมิ่นโค่นชาติบ้านเมือง เพราะนี้เป็นหัวใจของชาติจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยการดูหมิ่นในหลวง ใครจะหาคนดีเหมือนในหลวงนี่หาที่ไหน ลองไปหาดูซิ ผู้ที่ดูหมิ่นนั้นน่ะเป็นคนเก่งขนาดไหนจึงไปดูหมิ่นในหลวงได้ลงคอ นี่เราแยกออกมาพิจารณาอย่างนั้นซี คนที่ดูหมิ่นนั้น่ะกับในหลวงเอามาเทียบกันแล้ว มันก็เหมือนหนูตัวหนึ่งกับช้างตัวหนึ่งนั่นละ ความดีมันหนักมากกว่ากันอย่างนั้น มันใหญ่โตกว่ากันมาก ความดีของในหลวงเท่ากับช้างตัวหนึ่งหรือภูเขาลูกหนึ่ง ความดีของคนนั้นถ้าจะมีบ้างก็เท่าหนูตัวหนึ่ง แล้วไปดูหมิ่นในหลวงได้ลงคอเป็นคนประเภทใด ขอให้ท่านทั้งหลายได้คิดทุกคนทุกหัวใจนะ

                 เราหาคนดีอยู่แล้ว เราเองก็อยากเป็นคนดี เมื่อเห็นคนอื่นดีเราควรจะชมเชยสรรเสริญ แม้เราทำไม่ได้เราก็ควรชมเชยคนดี เพราะโลกอยู่ได้ด้วยของดีคนดี ไม่ใช่อยู่ได้ด้วยของชั่วคนชั่ว นี่ละเป็นกระทู้ข้อหนึ่ง เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่มาก การดูหมิ่นในหลวงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย คือการทำลายหัวใจของชาติบ้านเมือง แล้วทำลายความดีที่ชาติมุ่งหวัง ในหลวงเป็นคนที่ดีมากที่สุด เราหาได้ที่ไหนในเมืองไทยเรานี้ พระองค์เสด็จนู้นเสด็จนี้เราก็เคยเห็นไม่ใช่เหรอ ไม่ได้อยู่เลย เหมือนกังหัน เพราะความห่วงชาติบ้านเมือง รักประชาราษฎรเพราะเป็นลูกของท่าน เราจะหาใครได้อย่างในหลวง ทำไมจึงไปตำหนิในหลวงได้ลงคอ คนคนนั้นเป็นคนประเภทใด พิจารณาดูซิ คือประกาศความเลวร้ายของตัวเองนั้นแหละให้โลกได้เห็น เราอย่าเข้าใจว่าจะได้คะแนนสักหนึ่งคะแนนเลย ฉิบหายป่นปี้คนคนนั้น ความเสียหาย ปากสกปรก ปากทำลาย ทำลายทั้งชาติทั้งบ้านเมือง ทำลายความดีของคนซึ่งเป็นผู้มุ่งอยู่ด้วยกันอยู่แล้วทั้งแผ่นดินทั้งโลก มุ่งต่อคนดีความดี แม้เจ้าของทำไม่ได้ก็ยังมีความมุ่งหวัง จึงบูชาคุณของคนดี เคารพเลื่อมใส ยินดีแม้เราทำไม่ได้ก็ตาม นี่ก็ไปตำหนิในจุดเช่นนั้นแล้วแสดงว่าคนนี้เป็นคนที่ทำร้ายโลกได้อย่างร้ายแรงมาก เป็นคนเลวมาก อย่าถือเป็นคติตัวอย่าง ไม่ดี นี่เทศน์ข้อหนึ่ง

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 78  « on 13/2/2557 16:10:00 IP : 180.183.65.133 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


                      ท่านคะ ผู้หญิงจะขึ้นเป็นถึงพระอรหันต์ได้ไหมค่ะ

                     ผู้หญิงผู้ชายมันขึ้นไม่ได้ละ ใจต่างหากขึ้น ผู้หญิงมีใจผู้ชายมีใจแล้วขึ้นได้ทั้งนั้น ขอให้กิเลสสิ้นไปด้วยความเพียรของเราเถอะ มีความเพียรเป็นหลักตั้ง ความเพียรนี้แหละจะเป็นกุญแจเปิดตู้มรรคผลนิพพาน เราอย่าเอาเพศมาเปิด เอาเพศมาเปิดแล้วติดเพศไปไม่รอดนะ ถ้าว่าเพศพระ ก็ว่าเราเป็นพระใครก็นับถือ นอนกินก็ได้ นั่งกินก็ได้ นอนใจ อันนี้ตัวขี้เกียจใหญ่ ตัวกิเลสตู้กิเลสอยู่ในนั้นแหละ แม้แต่หลวงตาบัวคุยโว้ๆ อยู่นี่ก็ไม่เห็นดีอะไร ถ้าขี้เกียจเสียอย่างเดียวไม่เป็นท่า เรื่องกินแล้วขยันยิ่งกว่าลิงใช้ไม่ได้อย่างนั้น การประกอบคาวามเพียรให้เร็วให้คล่องตัว สติปัญญาให้คล่อง ตัวนั้นละกิเลสจะกลัวจากหนังสือ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตาพระมหาบัว พิมพ์ พ..๒๕๓๓)

                บางทีก็ได้ยินคนพูดเหมือนกันว่าผู้หญิง........

               คนพูดเป็นคนประเภทใดว่ะ คนประเภทอย่างเราพูดก็ได้นี่ คนมีหลายประเภท เขาพูดก็ได้ เราพูดก็ได้ เขาพูด.... เขามันเกิดที่หลังหู เราอย่าไปเชื่อง่ายๆ ซิ หูเกิดแล้วเขาจึงเกิดทีหลังนี่ เอะอะไปเชื่อเขาแล้ว

                (จากหนังสือ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตาพระมหาบัว พิมพ์ พ..๒๕๓๓)

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 79  « on 18/2/2557 18:48:00 IP : 180.183.22.33 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


 

        หลวงปู่คะ มีคนเขาอยากเห็นพุทธศาสนาแท้ๆ ท่านสอนและปฏิบัติอย่างไรคะ

        เอาหนังสือนี้ไปอ่านดูเสียก่อนก็แล้วกัน ถ้าอยากจะให้ชัดลงไป อ่านแล้วนำไปปฏิบัติ จะรู้กันแท้หรือไม่แท้ตรงนี้แหละ ดินไม่ใช่ธรรม น้ำไม่ใช่ธรรม ลม ไฟ ไม่ใช่ธรรม อากาศอะไร ๆ ไม่ใช่ธรรมทั้งนั้น ธรรมคือธรรม อะไรจะสัมผัสธรรมได้ ตาสัมผัสรูป หูสัมผัสเสียง จมูกสัมผัสกลิ่น ลิ้นสัมผัสรส ไม่ใช่สัมผัสธรรม ใจเท่านั้นจะสัมผัสธรรมได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ปฏิบัติใจ บำรุงใจ เรียกว่า ปรับใจให้เหมาะสมที่สมควรจะรับทราบธรรมขั้นใด สัมผัสธรรมขั้นใดได้ ธรรมตั้งแต่สมาธิธรรมขึ้นไปหรือสมถธรรม วิปัสสนาธรรมตลอดถึงวิมุตติธรรมจะไม่นอกเหนือไปจากจิตนี้ไปได้เลย เพราะฉะนั้นธรรมจะมีอยู่ขนาดไหนก็ตาม ถ้าโลกไม่อาจปรับจิตเข้าสู่ธรรมที่ควรจะรู้จะเห็นจะสัมผัสสัมพันธ์ได้ ธรรมก็เป็นโมฆะอยู่เช่นนั้นสำหรับโลกที่เป็นโมฆะ ถ้าโลกไม่เป็นโมฆะก็มุ่งจุดตามที่พระพุทธเจ้าสอน

        พอเริ่มปฏิบัติตามนั้นก็จะเริ่มสัมผัสสัมพันธ์ธรรมตั้งแต่ความสงบร่มเย็นเข้าไปโดยลำดับ อ๋อ สงบ ตรงนี้เหรอ ท่านว่าสงบๆ ท่านว่าสมาธิ อ๋อ เป็นตรงนี้เหรอ คือเป็นที่ใจนี่ ไม่ได้เป็นที่ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ไม่ได้เป็นที่คัมภีร์ คัมภีร์มันคือชื่อของธรรมต่างหาก ตัวธรรมแท้สถิตอยู่ที่ใจ พร้อมเสมอที่ใจ แต่ใจปรับตัวไม่ได้ถึงจะมีธรรมห้อมล้อมก็ไม่รู้ พอปรับใจตัวเองได้แล้วก็เหมือนกับว่าเปิดแย้มออกรับธรรม ธรรมก็ค่อยสัมผัสกันเข้ามากน้อยโดยลำดับลำดา จนกระทั่งว่าเปิดกว้างเท่าไร ธรรมกับใจก็จะค่อยประสานกันเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเลย

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 80  « on 18/2/2557 19:07:00 IP : 180.183.22.33 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


 (ต่อ)

                      จะไปหาธรรม ไปหาต้นไม้ก็เห็นต้นไม้นั่นแหละไม่มีธรรมอยู่ในนั้น เอาที่จิตซิ ฝึกที่จิตสอนที่จิต เวลานี้จิตถูกกิเลสครอบไว้ไม่ให้ธรรมแทรกเข้าไปได้เลย เพราะฉะนั้นจึงต้องเปิดกิเลสออก ถากถางกิเลสออกเพื่อให้ธรรมไหลเข้าไปได้ ทีนี้เวลาเปิดออกธรรมก็พร้อมที่จะไหลเข้าสู่เสมอ เพราะธรรมมีอยู่แล้วเป็นแต่เพียงกิเลสครอบเอาไว้ภายในเสีย ไม่ให้ธรรมเข้าไปได้ จึงต้องเปิดกิเลส เปิดกิเลสจะเอาอะไรไปเปิด เอาความขี้เกียจไปเปิด นั้นก็คือกิเลส เอาความท้อแท้อ่อนแอไปเปิดนั้นก็คือกิเลส เอาความไม่มีวาสนาไปเปิดนั้นก็คือตัวกิเลสใหญ่ เลยมีแต่กิเลสๆ ไม่มีธรรม

            ถ้าจะเอาธรรมแล้วต้องเอาความอุตส่าห์พยายามความหนักเอาเบาสู้ไม่ถอย แก้กันได้ตรงนี้ เปิดกันตรงนี้ อย่าเอาความขี้เกียจไปเปิด อ่านหนังสือก็อ่านยาก ค่อย ๆ อ่าน – ไป ค่อย ๆ อ่านมันไปก็ค่อย ๆ หลุดมือเองแหละ นั่นละจึงว่ามันเปิดมากนะไม่ใช่เปิดน้อยๆ ในเมื่อมีแต่กิเลส ๆ ทั้งนั้น จะไปเปิดกิเลสได้ยังไง กิเลสต่อกิเลสมันเปิดกันอยู่แล้วพอจะนั่งภาวนา โอ๊ย เหนื่อย หมอบราบลงหมอน ได้ยินแต่เสียงครอกๆ นั่นเห็นไหมกิเลสน็อคไม่รู้เรื่องเลย ถ้าอยากจะรู้คำพูดเหล่านี้เป็นความจริงเพียงใดให้ต่อสู้กับกิเลสซิเราจะรู้หมด เพลงของกิเลสมาแบบไหนแบบไหนรู้หมด เพลงกล่อมของกิเลสนี้สนิทมากอ้อยอิ่งมาก สัตว์โลกถึงได้ติดได้จม จะให้ทุกข์ขนาดไหนสัตว์โลกไม่เคยเห็นโทษของมันเลย ธรรมเท่านั้นที่ส่องกล้องเข้าไป เห็นๆ โดยลำดับลำดาๆ ปราบกันไป ๆ เอ๊า ทีนี้กิเลสจะมาไม้ไหน อยู่ในหัวใจใด แสดงกิริยาอาการใดออกมาก็ตาม รู้หมดเพราะเคยถูกน็อคมาแล้วนี่ จึงว่าไม่เหนือธรรมไปได้ ธรรมเท่านั้นที่จะปราาบกิเลสได้อยู่หมัด

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
 First page 
<
3
4
5
6
7
8
9
>
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 2 Visits: 16,615,340 Today: 852 PageView/Month: 86,838