luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........  (Read: 200473 times - Reply: 203 comments)   
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
« Thread Started on 12/8/2555 0:21:00 IP : 180.183.226.116 »
 

คำถาม-คำตอบ (๑)  ปัญหาธรรม โดยหลวงตาพระมหาบัว 

สวัสดีค่ะทุกท่าน พอดีคนแอบอ่าน ไปพบหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ ถาม-ตอบ เป็นหนังสือที่องค์หลวงตาพระมหาบัว

ตอบคำถามที่มีผู้ถามปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 คนแอบอ่านตั้งใจว่า หากมีเวลาว่างจะนำมาพิมพ์ให้อ่าน

เป็นระยะๆ ต่อเนื่องกันไป

 

และเนื่องจากวันนี้เป็น "วันแม่" จึงขอนำเรื่องนี้มาลงในวันแม่ เป็นเรื่องแรกค่ะ

 

ถาม

 
หนูมีปัญหาที่ต้องการกราบรบกวนหลวงตา หนูคิดอยู่นานเหมือนกัน ไม่ค่อยอยากรบกวนหลวงตา

เพราะได้ทราบว่าสุขภาพหลวงตาไม่ค่อยดี แต่สถานการณ์มันเลวลงทุกวัน จึงทำให้หนูตัดสินใจ

เขียนมารบกวน


หนูและพี่สาวดูแลคุณแม่อายุ 84กว่าแล้ว ท่านเป็นโรคอัมพฤกษ์ (ร่างกายซีกขวาไม่ทำงาน)มา2ปีแล้ว

และเราก็ตั้งใจจะดูแลท่านจนกว่าชีวิตท่านจะถึงที่สุด แต่แม่เรียกร้องมากโดยเฉพาะเรื่องกิน คุณแม่

ทานตลอดเวลา เรียกให้ป้อนอาหารแทบทุกครึ่งชั่วโมง และทานครั้งละคำสองคำก็บอกพอ ท่าน

เลือกสรรอาหารจนแทบจะหมดปัญญาสรรมาให้ บ่อยครั้งที่ให้อาหารเคยชอบกลับไม่ทาน จะทานอีกอย่าง

ซึ่งไม่ใช่ว่าจะหาได้ทุกครั้งไปเป็นอย่างนี้มาตลอด 2ปี จนลูกเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อมากเข้าก็กลายเป็นโทสะ

ระยะหลังนี้หนูและพี่สาวดุคุณแม่บ่อยซึ่งทุกครั้งที่ดุ หนูก็ไม่สบายใจ เสียใจตนเองทุกครั้ง ตั้งใจว่าจะทำดีๆ

กับท่าน แต่พอเข้าไปหาท่านได้เห็นพฤติกรรมของท่านก็อดโกรธไม่ได้

 

หลวงตาคะ ทำอย่างไรแม่ถึงจะกวนน้อยลง หรือตอนเด็กๆหนูจะตื๊อท่านมาก แต่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า

หนูเลี้ยงง่ายที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด หรือชาติก่อนๆหนูเคยกวนท่านมาก หนูไม่อยากดุ ไม่อยากโกรธ

แม่เลย หนูกลัวตกนรก และจริงๆหนูก็รู้ว่าแม่มีความทุกข์ และหนูก็พยายามช่วยท่าน แต่ท่านไม่ยอม

รับรู้อะไรเลย นอกจากท่านจะทำตามต้องการของท่านเท่านั้น ท่านไม่ยอมรอคอยอะไรด้วย ถ้าจะทานอะไร

จะต้องนำมาให้ท่านเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่ได้ท่านจะโวยวายอยู่นั่นจนกว่าจะได้ตามต้องการ พอได้ทานแต่2คำ

แล้วสั่งให้เอาไปเก็บ อีก10-15นาทีก็จะเรียกทานของอย่างอื่นต่อไป กลางคืนก็ทาน แต่ก่อนเกรงใจ

ไม่เรียกไม่ปลุกเดี๋ยวนี้ท่านเรียกทุกเวลา

 

หลวงตาได้โปรดชี้แนะหนูด้วย หนูยอมรับว่าหนูเป็นลูกที่ไม่ดี ดูพ่อดุแม่(ทั้งๆที่ไม่อยากดุ)หลวงตา

จะดุด่าหนูก็ได้ค่ะขอแต่เพียงช่วยให้แม่กวนน้อยลง เลี้ยงให้ง่ายๆหน่อย หรือให้หนูมีใจเยือกเย็น

อดทนต่อพฤติกรรมของแม่ได้ หนูกราบขอบารมีหลวงตาด้วย สมาธิหนูตอนนี้ก็ไม่ค่อยได้ความเท่าไหร่

หนูพยายามนำเรื่องแม่มาพิจารณาเหมือนกันก็ยังไม่ได้ผล หนูไม่อยากทำเวรทำกรรมกับพระอรหันต์ของหนู

และหนูก็ตั้งใจที่จะตอบแทนพระคุณท่านจนถึงที่สุด

 

ตอบ


แม่เป็นคนป่วย เราเป็นคนดีปกติ ไม่ควรแสดงกิริยาผิดปกติต่อคนไข้ซึ่งไม่ปกติในธาตุขันธ์และจิตใจ

การขอรับประทานบ่อยและการเอาตามใจตัวเอง นั่นเป็นอาการระบายความทุกข์ทรมานของคนป่วย

แต่ละครั้งแต่ละอาการต่อลูกๆ ผู้เป็นคนดีปกติทางธาตุขันธ์ จึงควรเห็นใจให้ความอบอุ่นแก่ท่าน

ท่านหวังพึ่งลูกๆทุกอย่างทั้งเป็นทั้งทุกข์ทั้งตาย ไม่มีที่พึ่งไม่มีที่เรียกร้องนอกจากลูกๆของตนเท่านั้น

  

คนอื่นก็เป็นคนอื่นแม่ก็ทราบว่าเป็นคนอื่น จึงไม่รบกวนใครๆนอกจากลูกๆของตนเท่านั้น พระคุณของแม่

ล้นฟ้าล้นแผ่นดินที่ควรเทิดทูนสุดหัวใจ แต่คุณของความโมโหโทโสความดุด่านั้นไม่มี นอกจากมี

แต่โทษล้วนๆของมันเท่านั้น จึงไม่ควรเอาความดุมาแข่งพระคุณของแม่ต่อไปอีก ที่เป็นมาแล้วก็ควร

ยอมรับว่าผิดต่อแม่ ความโมโหความดุจะหมอบหัวลง ไม่โผล่หัวขึ้น แผ่พังพานต่อสู้กับผู้มีพระคุณล้นฟ้า

อีกต่อไป อาหารที่หามาให้ท่านไม่ทันหรือหามาไม่ได้ ก็บอกท่านโดยดีว่าไม่ทันไม่ได้ พร้อมกับ

การแสดงกิริยานุ่มนวลต่อท่านสมกับเราเป็นลูกผู้ดีของท่านที่ไว้ใจ ลงใจในเราจนฝังใจชนิดถอนไม่ขึ้น

  

จงเมตตาท่านสุดหัวใจตลอดไป อย่านำยาพิษคือกิริยาไม่ดีและดุด่ามาเป็นคู่แข่งพระคุณท่าน

และเผาลนท่านให้แสลงตาแสลงใจได้ทุกข์เพราะเราอีกต่อไป

 

เรากวนท่านตอนอยู่ในห้อง ตกคลอกออกมา เวลายังเด็กยังเล็กจนรู้เดียงสาและบัดนี้ กวนมาก ยุ่งมาก

วุ่นวายท่านมาก ไม่มีใครยุ่งวุ่นวายเกินลูกๆ ยุ่งวุ่นวายพ่อ – แม่ กรุณาทบทวนให้ละเอียดระหว่างเรา

กับแม่กวนกัน วุ่นวายกันเรื่อยมา ความดุความต่ำที่เคยมีในตัวเรากับแม่จะไม่เป็นคู่แข่งกันอีกต่อไป

จะมีแต่ความเมตตากรุณาอันเป็นธรรมความชุ่มเย็นล้วนๆ ต่อกันจนอวสาน


                                    *******

    

    "สุขสันต์วันแม่ทุกท่าน" ค่ะ 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
จำนวนข้อความทั้งหมด:  88
 First page 
<
4
5
6
7
8
9
แสดงความคิดเห็น
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 81  « on 19/2/2557 13:00:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 

กับเรื่องการต่อสู้กับกิเลสแล้ว หลวงตาท่านพาขึงขังจริงจังเสมอ

ส่วนเรา ๆ ก็พยายามเลี่ยงไปหาหนทางการปฏิบัติแบบสบาย ๆ สไตล์คนเมือง ...หุ หุ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 82  « on 1/4/2557 9:42:00 IP : 180.183.69.146 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


              หลวงปู่คะ จะแก้อย่างไรคะพอนั่งฟังเทศน์ สงบแล้วมันดิ่ง ไม่ได้ยินคำเทศน์

     มันก็ดิ่งลงภวังคหลวงนั่นแหละ จะเป็นอะไรไป พอนั่งฟังเทศน์แล้วง่วง มันอยากหลับ

     ไม่ใช่มันง่วงค่ะ แต่ไม่ได้ยินค่ะและก็รู้อยู่

     รู้ก็ให้มันรู้อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ยินก็ชั่งมันเถอะ เราเคยฟังมาพอแรงแล้ว จนหูจะฉีก จะฟังอะไรนักหนา เสียดายอะไรนักหนาเรื่องการฟังนั่น ฟังความรู้นั่นซิ ที่มันกังวานครอบโลกธาตุอยู่ เวลามันรู้เด่นจริงๆ เหมือนกับกังวานครอบโลกธาตุ อำนาจของความรู้เด่นขนาดนั้นนะ ถ้าธรรมได้เปิดกิเลสออกหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะกังวานยิ่งกว่าธรรมกับจิตอยู่ด้วยกันละ กังวานครอบโลกธาตุโน่น

      ผมขอโอกาสครับ คือว่าการทำสมาธิ เมื่อเราทำได้ที่มีจิตลงสู่แล้วก็ขาดไป พอมาตอนหลังจะเอาอารมณ์อย่างนั้นมาพิจารณาอีกมันไปไม่ค่อยได้เป็นเพราะเหตุไรครับผม

     อย่าไปเป็นอารมณ์ซิ ถ้าเราภาวนายังไงจิตของเราถึงได้ลงอย่างนั้น ให้ยึดเอาอารมณ์นั้นเข้ามาสู่วงปัจจุบัน อย่าไปคิดว่าเราเคยได้อย่างนั้นเคยเสื่อมอย่างนี้ เคยขาดอย่างนั้นมาเป็นอารมณ์ ไม่เกิดประโยชน์ นี่ละที่ผมพูดอย่างนี้มันเข้าเงื่อนไขเดียวกันปุ้ปเลยไม่มีผิดเพี้ยนไปได้ จึงพูดให้หมู่เพื่อนฟังอยู่เวลานี้

     บางครั้งก็ไม่ได้คิดอะไร พอนั่งก็ลงปึ้กแล้วหายไปเลย บางครั้งก็ไม่ค่อยได้

     เวลาไม่ค่อยได้เป็นเพราะกิเลสมันออกเพ่นพ่าน กำลังของกิเลสมีมาก กำลังของธรรมไม่พอก็เข้าไม่ได้

     แต่ก็รู้สึกว่าจิตในขณะนั้นอ่อนเต็มทีครับ แต่ว่าไม่ขาดเท่านั้นเอง ยังมีสติอยู่กับจิต แต่ว่ามันไม่ลงมันไม่ขาด แต่ก็เบาเต็มที บางครั้งก็ขาดไปเลย

     มันขาดก็ขาดให้เรารู้ได้ช่วงระยะหนึ่ง คำว่าสมาธินี้ยังเป็นของไม่แน่นอน ยังละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ และจะมีเสื่อมได้ถ้าปฏิบัติผิดหรือนอนใจยังมีเสื่อมได้และมีเจริญได้ จึงว่าให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญาดังที่เคยสอนไว้ จะรู้เองว่าผิดกับสมาธิขนาดไหน

     ถ้าหมู่เราได้เข้าใจธรรมอย่างพระเดชพระคุณพระอาจารย์อบรมสั่งสอนก็จะรู้ว่าธรรมะที่พระเดชพระคุณอาจารย์สอนนั้น ถ้าใครปฏิบัติตามก็จะเห็นอาจารย์ว่าเป็นดังสมัยพระพุทธกาลกล่าวว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นย่อมเห็นตถาคต

     ถูกแล้ว คือความจริงมันอันเดียวกัน ไม่มีอดีตอนาคต เมื่อความจริงประกาศอย่างเด่นชัดภายในหัวใจแล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหนกัน

     ถ้าหมู่พวกเรานี้ได้ปฏิบัติถึงขนาดนั้นก็จะได้เห็นตัวอาจารย์ได้แจ่มแจ้ง

     ผมไม่อยากให้เห็นผมละ ให้เห็นเงาเจ้าของนั่นแหละ

             (จากหนังสือ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตาพระมหาบัว พิมพ์ พ..๒๕๓๓)

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 83  « on 1/4/2557 9:27:00 IP : 180.183.69.146 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


                  กระผมขอโอกาสถามอีกสักครั้งหนึ่งครับ การที่จะกำจัดกิเลสอย่างละเอียดที่เรียกว่าอนุสัยซึ่งนอนเนื่องอยู่นั้น อนุสัยตามที่พระเดชพระคุณอาจารย์สอนก็บอกว่าถ้าหากมันไปกระทบกระทั่งก็จะขุ่นขึ้นมาเหมือนน้ำใสที่มีตะกอนนอนก้น ทีนี้จะเอาธรรมะอะไรครับเข้ามาสกัดน้ำขุ่นที่นอนก้นกันไม่ให้มันขึ้นมา

     ปัญญา, ปัญญาเป็นสารส้ม แกว่งลงไป เพียงเอาสมาธิกดมันไม่อยู่ ถ้ามันรุนแรงสมาธิกดไม่อยู่ เดี๋ยวพาสมาธิพังไปด้วย ปัญญาเท่านั้นฟัดกันลงไป

     เมื่อปีที่แล้วครับผม ผมไปอยู่ที่บ้านค้อ เดินจงกรมอยู่ ผมพยายามคิดว่าจะเอาธรรมะอะไรมาสกัดกั้นอนุสัยไม่ให้กระทบกระทั่งออกมา ผมก็เลยคิดขึ้นมาว่าต้องมีสติด้วยสมาธิด้วย

     เรื่องสตินั่นเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ถึงไม่พูดถึงก็คือพูดถึงอยู่นั่นแหละ เรื่องสติเป็นพื้นสำคัญมากทีเดียว ก่อนที่ปัญญาจะเคลื่อนไหวสติต้องเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว มิฉะนั้นปัญญาก็เป็นสัญญาไปได้ ในขั้นเริ่มแรกปัญญามักจะเป็นสัญญาไป ถ้าไม่มีสติตาม เพราะปัญญายังไม่เคยเห็นผลของตัวเอง ต่อค่อยเห็นผลของตัวเองแล้วทีนี้เกิดความสนใจ ปัญญาก็ขยับตาม เมื่อปัญญาขยับเรื่องสติก็ไปตามกัน สุดท้ายสติกับปัญญาเลยกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน แต่ถึงขั้นนี้มันหมุนเป็นอัตโนมัติ ขั้นที่ต้องบังคับอยู่นี้เป็นเพราะสติกับปัญญายังแยกกันอยู่ ถ้าเราระลึกไม่ทันปัญญาก็เถลไถลไปเป็นสัญญาอารมณ์ไปเสียและถูกกิเลสลากไปเสีย พอถึงขั้นเข้าใจตัวเองได้เห็นผลของตัวเองแล้ว ทีนี้มันก็สนใจ จ่ ออะไรเข้าไปก็อยากเข้าใจจริงๆ สนใจจริงๆ มันหมุนไปตามคำว่า จ่อ สติก็ไปด้วยกันนั่นแหละ

     คำว่าอนุสัยก็คือความละเอียดของกิเลสนั่นแหละ ละเอียดลงไปๆ ตัดฟันมันลงไปเรื่อยๆ อย่างที่ท่านพูดถึงเรื่อง อุปกิเลส 16 เป็นโอภาส เป็นแสงสว่างเป็นอะไรๆ ก็เข้าในที่ผมพูดนั่นแหละ แต่ผมพูดธรรมะป่านี่ ไม่ค่อยจะเอาอุปกิเลสหรืออันนั้นอันนี้มาพูดหรอก แต่ก็พูดเรื่องอุปกิเลสอยู่โดยดี

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 84  « on 26/4/2557 17:07:00 IP : 180.183.22.234 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


                    แต่ถ้านักปฏิบัติแล้วก็รู้สึกว่าแจ่มแจ้ง ถ้าปฏิบัติถึงนะครับผม ถ้ายังไม่มีกระผมก็ไม่ทราบ

      คือผมไม่ได้พูดภาคปริยัติ ผมพูดภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติก็รู้ แต่ว่าก็เหมือนกับมีดที่ถืออยู่กับมือกับมีดที่เหน็บพกไว้นี้มันต่างกัน คว้านี้มันเสียเวลา อยู่กับมือนี่ทิ่มได้เลยแทงได้เลย สติปัญญาที่เกิดกับภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้นพุ่งเลย ทันเลยๆ จะไปถอดมีดอยู่ในพกเสียก่อนไม่ทัน ก็เหมือนปริยัติ ในขั้นที่เราจะเอาปริยัติมาพิจารณาก็พิจารณาแต่ในขั้นที่จะไม่เอาปริยัติมามันมีนี่ มันเกิดพร้อม เกิดพร้อมกันนั้น มันทันกันไม่งั้นไม่ทัน ถึงขั้นหมุนมันหมุนจริงๆ เห็นโทษก็เห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณก็เห็นอย่างถึงใจ เมื่อต่างอันต่างถึงใจแล้วก็มาหนุนกำลังใจเพื่อความรอดพ้นไปเสียให้มีกำลังมากขึ้น

      แต่ก่อนผมก็ไม่เคยคิดที่ว่าท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ถ้าจะเดินโดยการบังคับธรรมดาจนฝ่าเท้าแตกนี่ก็ยังไม่สมเหตุสมผล เดินเพราะความดูดดื่ม เดินเพราะความเพลิดเพลินในความเพียรนั้นเหมาะ พอถึงขั้นนั้นแล้วมันเป็นจริงๆ มันไม่ได้ดูพระอาทิตย์พระจันทร์ ไม่ได้ดูเดือนดาวตะวงตะวันมืดแจ้งสว่างอะไรเลย มันหมุนติ้วๆอยู่ภายในเหมือนกับนักมวยเข้าวงในกัน ใครจะไปคำนึงว่ากำลังน้อยกำลังมาก คิดไปไหนไม่ได้เวลานั้น อันนี้ก็เหมือนกัน มันหมุนติ้วๆๆ เวล่ำเวลาไม่มี ความหิวความกระหายไม่มี มีแต่จิตกับอารมณ์ที่ฟัดกันอยู่เท่านั้น ทีนี้ฝ่าเท้าไม่แตกได้ยังไง ก็ฝ่าเท้ามันเป็นเครื่องมือ เมื่อเดินไม่หยุดมันก็แตกเพราะความเพียนหมุนอยู่ภายใน เพียงความเพียรแบบหนูๆ อย่างผมนี่ก็พอนำมาเทียบนำมาพูดได้ เวลาก้าวเข้าทางจงกรมแล้วไม่มีเวล่ำเวลา ความหิวความโหยไม่มีเลย น้ำก็ไม่หิว หมากพลู บุหรี่ อะไรๆก็ไม่สนใจ มีแต่มุ่งงานอย่างเดียวเท่านั้น

      โน่นพอออกจากทางจงกรม มองไปเห็นกาน้ำ โอ้โฮ มันจะโดดใส่ผึงเลยนะ ก็มันหิวน้ำจะตาย พอดื่มน้ำเข้าไปสำลักกั๊กๆๆ เหมือนไม่ได้กินน้ำ ทีอยู่กับทางจงกรมมันไม่หิวนะ มันลืมไปหมดเพราะความเพียรอันนี้หมุนตัวเป็นเกลียวเป็นอัตโนมัติไปเลย อยู่ที่ไหนจนบางทีได้รำพึงให้เจ้าของเอ๊ ทำไมเราไม่เคยคาดเคยฝันว่าจะเป็นอย่างนี้ ความคาดความคิดนั้นกับความจริงมันผิดกัน นึกว่าจิตใจมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไรแล้วการงานก็จะลดน้อยถอยลงไป ใจก็จะสบายขึ้นๆ มันกลับตรงกันข้าม ยิ่งหมุนทั้งวันทั้งคืน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เมื่อไรมันจะได้สะดวกสบายกันเสียทีนา พอหยุดรำพึงมันก็โดดปุ้บเข้าสู่งานอีกแล้ว จนกระทั่งมันไปหมดกำลังของมันแล้วก็หยุดของมันเอง

      แต่ในขณะนั้นมันไม่ได้คำนึงอะไร คิดูพอตื่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงหลับมันเผลอเมื่อไร่ ถ้าจะว่าเผลอ มันเผลออะไร เผลอไปกับอะไร มันเหมือนกับว่าทักเราอยู่อย่างนั้น ก็มันไม่เผลอ มันเป็นเองของมันนี่ที่ว่ามหาสติ มหาปัญญา ในครั้งพุทธกาล ก็คือสติปัญญาอัตโนมัตินี่เอง มันเป็นของมันเอง อันนี้ก็เป็นสมมุตินะ

      ทำไมถึงว่าเป็นสมมุติ ก็ถึงวาระที่มันจะพรากตัวเอง มันก็พรากของมันเองนี่ สติปัญญาแบบนี้ก็ไม่มีเมื่อถึงวาระที่จะไม่มีแล้ว มันเป็นความเหมาะสมของแต่ละอย่าง ๆ นี่ อันนี้ก็เป็นสมมุติ ปัญญาก็เป็นสมมุติ สติเป็นสมมุติ มาแก้สมมุติด้วยกันคือ สมุทัย เป็นสมมุติฝ่ายชั่ว มรรคเป็นฝ่ายดี สติปัญญาเป็นฝ่ายแก้ กิเลสเป็นฝ่ายผูกมัด พออันนี้หมดปัญหาอันนั้นก็หมดปัญหาไปตามๆกัน

            (จากหนังสือ คำถาม-คำตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตาพระมหาบัว พิมพ์ พ..๒๕๓๓)

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 85  « on 28/4/2557 7:02:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 
คนแอบอ่าน Talk:

...ปัญญาก็เป็นสมมุติ สติเป็นสมมุติ
มาแก้สมมุติด้วยกันคือ สมุทัย เป็นสมมุติฝ่ายชั่ว
มรรคเป็นฝ่ายดี สติปัญญาเป็นฝ่ายแก้ กิเลสเป็นฝ่ายผูกมัด



ขอบคุณและอนุโมทนากับพี่คนแอบอ่านครับ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 86  « on 26/7/2557 17:46:00 IP : 183.89.221.104 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คนแอบอ่าน

Posts: 3 topics
Joined: 21/7/2555

ความคิดเห็นที่ 87  « on 26/7/2557 17:50:00 IP : 183.89.221.104 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 


 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 88  « on 28/7/2557 7:40:00 IP : 203.148.162.151 »   
Re: ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดย หลวงตามหาบัว.........
 

สาธุ สาธุ "ความเป็นธรรมดีของพระธรรม"

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
 First page 
<
4
5
6
7
8
9
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 6 Visits: 16,685,980 Today: 783 PageView/Month: 67,505