luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   เรื่องสั้นวันหยุด ตอน สิ้นบุญ สิ้นกรรม  (Read: 7528 times - Reply: 2 comments)   
เพียงดิน

Posts: 156 topics
Joined: 13/9/2553

เรื่องสั้นวันหยุด ตอน สิ้นบุญ สิ้นกรรม
« Thread Started on 13/9/2557 21:14:00 IP : 61.90.86.95 »
 

   "นายห้างตายเสียแล้วเมื่อตอนเช้ามืดวันนี้เอง!" เสียงโจษจันจากปากซอยดังเข้ามาถึงร้านกาแฟไอ้เนี้ยว ยายอ้องขายกล้วยแขกยกมือท่วมหัว "สิ้นเวรกันเสียที ไปที่ชอบ ๆ เถอะเจ้าประคุณ" ส่วนตาแร่ คนวัยเดียวกับนายห้างพยักหน้าหงึก ๆ กับตัวเอง

   "สิ้นเวรสิ้นกรรมกันซะที คนเรามันก็เท่านี้แหละว้า! กระโดดโลดเต้นกันไปหรับ ๆ เหมือนเขาเชิดหุ่นกระบอก ผลสุดท้ายก็หนีไม่พ้นสัปเหร่อจับยัดเข้าโลงไป"

   ตาแร่กับยายล้วนอยู่กินกันมาจนแก่เฒ่าโดยไม่มีลูกเต้า หารับจ้างจิปาถะอยู่ในย่านนั้น ซุกหัวอยู่ในบ้านสับปะรังเค แม้จะยากจนแต่ก็ดูแจ่มใส ร่าเริง ไม่มีทีท่าซบเซาทุกข์โศกให้ใครเห็น

   ตรงข้ามกับนายห้างราวฟ้ากับดิน!

   เศรษฐีใหญ่อยู่ในตึกหลังมหึมาก้นซอย เป็นทั้งข้าราชการบำนาญกับราชาที่ดิน มีบ้านให้เช่าราวสิบหลัง แต่ผู้คนเรียกขานว่านายห้าง ๆ ลือกันว่านายห้างมีที่ทางแถวพัฒนาการหลายสิบไร่ เมื่อราคาที่ดินพุ่งพรวด ๆ จนบรรดาลูก ๆ เมีย ๆ ของนายห้างแทบจะฆ่ากันตายเพราะเรื่องแย่งที่ดิน

   นายห้างอายุราวเจ็ดสิบเศษ เมียหลวงเมียน้อยอยู่ในบ้านเดียวกัน ลูกเต้าที่เป็นหนุ่มเป็นสาวหรือมีคู่ไปแล้วก็ปลูกบ้านใหม่อยู่ในเนื้อที่กว้างขวางอีก 2-3 หลัง ทุกคนมีรถยนต์สวย ๆ ขับไปทำงาน แต่ระยะหลังนายห้างไม่ค่อยได้ออกไปไหน นอกจากจะมีคนเห็นไปทำธุระที่ธนาคารด้วยตัวเอง

   ตาแร่เคยกรากเข้าไปยกมือไหว้นอบน้อม "เอ...ทำไมใต้เท้าไม่นั่งรถเก๋งออกไปล่ะขอรับ สะดวกสบายทุกอย่าง ไม่ต้องเดินให้เมื่อย"

   นายห้างมองตาแร่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ... แม่เคยเล่าให้ฟังว่าชายชราสองคนนี่อยู่ซอยเดียวกันมาตั้งแต่หนุ่ม แต่ไม่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกันเท่าที่ควร

   "ใครบอกแกล่ะว่าฉันเหนื่อย" นายห้างยิ้มเยาะ "แล้วแกล่ะเหนื่อยหรือเปล่า? ทำงานงก ๆ ตั้งแต่เช้ายันค่ำ เดี๋ยวแบกหาม เดี๋ยวซ่อมบ้าน เดี๋ยวเดินตามขาไพ่ เดี๋ยววิ่งซื้อเหล้าซื้อกับให้พวกขี้เมา... แกนึกว่าฉันหูหนวกตาบอดรึ? ยังดีนะที่แกไม่มีลูกเต้ามาเป็นภาระ เป็นห่วงผูกคอ"

   "วาสนาน่ะขอรับ ผมทำบุญมาแค่นี้ก็ได้แค่นี้ ไม่บุญพาวาสนาส่งอย่างใต้เท้า"

   "ชะ!  งั้นแกก็หาว่าฉันไม่มีความสามารถอะไรเลยน่ะซี ดีแต่จะกินบุญเก่า โธ่เอ๊ย!  พวกแกนี่น้า ดีแต่จะเชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม เรื่องวาสนาอะไรไม่เข้าท่า"

   "นั่นน่ะซีครับ ว่าแต่ทำไมนายห้างไม่นั่งรถเก๋งเหมือนคุณหนู?"

   นายห้างถลึงตาใส่ "แกจะเรียกฉันว่านายห้างหรือใต้เท้าก็ว่าไปซักอย่างเถอะวะ ทำไมฉันจะเดินของฉันยังงี้มันหนักหัวใคร?"

   เศรษฐีใหญ่เดินผึ่งออกไป ตาแร่โคลงหัวมองตามก่อนจะโฉบมาที่ร้านไอ้เนี้ยว พวกเรากำลังอาศัยโต๊ะว่างหน้าร้านกาแฟโย้เย้นั่นเป็นที่เล่นเป่ากบกัน ก็พอดีได้ยินเสียงตาแร่ป่าวร้องขึ้นมา

   "เฮ้ย!  ใครอยากล่อไอติมกันมั่งวะพวกเรา!"

   นายห้างออกมาใส่บาตรทุกเช้า เช้าละหนึ่งองค์ ชุดเก่งของนายห้างคือกางเกงขาสั้นกับเสื้อป่านคอกลม มีผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียง บางเช้าเสียงเมีย ๆ ก็ด่าทอกันดังมานอกบ้าน ขณะที่นายห้างกำลังพนมมือไหว้สาวกของพระบรมศาสดา

   มะม่วงมันในบ้านใหญ่นั่นดกระย้าออกมานอกรั้ว พวกผู้ใหญ่กระโดดทึ้ง เด็ก ๆ ใช้หนังสติ๊กยิง กระทั่งนายห้างโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจมาจับ เผ่นหนีแทบตับทรุดไปตาม ๆ กัน

   ก่อนนั้นยายล้วนเคยทำแกงมาขายในเพิงกลางซอยวันละหม้อสองหม้อ พวกแกงปลาดุก แกงปลาไหล แกงสับนก ใครสนใจก็เอาชามมาซื้อหรือไม่ก็ใส่ถุงไป ใครจะติดค้างไว้ก่อนก็ไม่เป็นไร

   เย็นนั้นนายห้างเดินสง่าเข้าซอยมา กลิ่นแกงปลาไหลคงจะเตะจมูกผาง แถมยายล้วนยังตักใส่ชามให้ลูกค้ามือเป็นระวิง นายห้างมาหยุดยืนมองน้ำแกงสีแดงข้นหอมหวนชวนให้น้ำลายสอ

   "ตักมาซักสิบบาทซียายล้วน" เสียงดังฟังชัดทำให้เมียตาแร่ตกตะลึงเหมือนถูกผีหลอกกลางวันแสก ๆ ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อ 30 บาท อย่างต่ำก็ 20  บาท แต่นี่... "เอ้า! ว่ายังไงล่ะยายล้วน?  ตักใส่ถุงมาสิบบาท แกงแกน่ากินดีนี่"

   "ตักไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ" เสียงตอบแห้งแล้งทำให้นายห้างถลึงตาใส่ "ทำไมจะตักไม่ได้! แกจะตักมานิด ๆ หน่อย ๆ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่นา เอ้า!  เงิน..."

   ยายล้วนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ตักไม่ได้จริง ๆ เจ้าค่ะ"

   นายห้างสะบัดหน้าพรืด "บ้า!  แกนี่บ้าจริง ๆ เล่นเนื้อเล่นตัวนัก ข้าไม่ง้อก็ได้วะ"

   ตาแร่มารู้ข่าวเอาตอนที่นายห้างตุปัดตุป่องเข้าบ้านไปแล้ว แกรีบตักแกงใส่ถุงรัดหนังยางเรียบร้อย แทบจะวิ่งไปกดออดเรียก...นายห้างเดินหน้าบึ้งออกมา ตาแร่รีบชูถุงแกงขึ้นทันใด

   "กระผมเอาแกงมาให้ใต้เท้า"

   คราวนี้นายห้างชะงัก เบิกตากว้าง "ให้ฉันเรอะ?"

   "ขอรับ ฝีมือนังล้วนมันก็ยังงั้น ๆ แหละ วันหลังผมจะแสดงฝีมือแกงปลาไหลใส่เหล้าให้ใต้เท้ารับประทาน"

   นายห้างหัวเราะร่า  "เออ!  ขอบใจแกตาแร่ขอบใจจริง ๆ แกเป็นคนมีน้ำใจ วันหลังมีมะม่วงหล่น ๆ หลังบ้าน ฉันจะให้เด็กมันเก็บไปให้แกชิมซัก 2-3 ลูก นึกว่าเอาบุญ"

   ระยะหลัง ๆ ได้ข่าวว่านายห้างเป็นมะเร็งปอด เวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลไม่รู้กี่หนจนกระทั่งสิ้นลม นอกจากเสียงด่าทอระหว่างเมียน้อยกับเมียหลวง ตึกใหญ่ก้นซอยก็มีแต่ความเงียบเหงา... แทบจะไม่มีแขกไปไทยมา ตั้งแต่สมัยที่นายห้างอยู่แล้ว ยิ่งศพไปอยู่วัดบ้านก็เหมือนบ้านร้าง

   คนทั้งซอยรู้จักนายห้างดีมา 30-40 ปี แต่ไปช่วยงานศพคนเดียวคือตาแร่!

   แม่บอกผมว่า สิ้นบุญนายห้างแล้วลูกเมียคงจะฟ้องร้องแย่งสมบัติกันโกลาหล แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่ากับที่แม่บอกว่านายห้าง "สิ้นบุญ" เพราะบางคนบอกว่า "สิ้นเวร" ตาแร่ยังแถมว่า "สิ้นเวรสิ้นกรรม" กันเสียที!  ของจริงคืออะไรกันแน่?

   "สิ้นบุญซีลูก" แล้วแม่ก็อธิบายให้แจ่มแจ้ง "คนรวยตายเขาเรียกว่าสิ้นบุญ ส่วนคนจน ๆ อย่างพวกเราตายน่ะเขาเรียกว่าสิ้นกรรม!"

   ตาแร่ก็ยังทำงานงก ๆ หาเงินด้วยหยาดเหงื่อของแกต่อไป ได้เงินมาก็ซื้อขนมกับของเล่นแจกเด็ก ๆ ที่ยากจนทั้งนั้น ใครมีงานอะไรเป็นโดดเข้าช่วยเต็มกำลัง เงินทองจะได้มากน้อยหรือไม่ได้เลยก็ไม่เป็นไร

   "ข้ามันไม้ใกล้ฝั่ง ลูกหลานก็ไม่มีกับเขา มีข้าวกินไปวัน ๆ ก็พอใจแล้ว"

   พวกหนุ่มสาวที่มีการศึกษาหน่อยมักล้อตาแร่ว่าแกเป็นคนของประชาชน เป็นคนชอบให้บริการ ถ้ามีฐานะดีหรืออายุน้อยกว่านี้ก็คงจะสมัครผู้แทนแน่นอน

   ตาแร่ได้ฟังก็หัวเราะไม่แยแส ทำงานต่อไป ช่วยงานเขาต่อไป เอื้อเฟื้อเจือจานกับทุกคน ไม่ว่ายากจนหรือมั่งมีกว่าแก ไม่สนใจว่าจะถูกใครเอารัดเอาเปรียบ ทุ่มเทความรักใคร่ให้เด็ก ๆ ทุกคนในซอยประหนึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแก

   นายห้างตายไปได้ราวปีเศษ ตาแร่ก็ตายตามไปอีกคนด้วยโรคหัวใจ เข้านอนในตอนดึกหลังจากไปช่วยงานบวชเขามา...หลับสนิทไปตลอดกาลโดยไม่ต้องเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน ผู้คนยกโขยงไปช่วยงานศพแกจนถึงวันเผาเกือบหมดทั้งซอย

   ผมไม่ต้องถามแม่อีกแล้ว ว่าคนอย่างตาแร่ตายควรจะเรียกว่าสิ้นบุญหรือสิ้นกรรม?!!!


ประพันธ์โดย ณรงค์ จันทร์เรือง 



 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: เรื่องสั้นวันหยุด ตอน สิ้นบุญ สิ้นกรรม
จำนวนข้อความทั้งหมด:  1
1
แสดงความคิดเห็น
supa

Posts: 2 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 1  « on 14/9/2557 12:07:00 IP : 183.89.185.93 »   
Re: เรื่องสั้นวันหยุด ตอน สิ้นบุญ สิ้นกรรม
 

คนทำดี
ย่อมสุขใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
คนทำดีย่อมสุขใจทั้งสองโลก
เมื่อคิดว่าตนได้ทำแต่บุญกุศลย่อมสุขใจ
ตายไปเกิดในสุคติยิ่งสุขใจยิ่งขึ้น

คนทำชั่ว
ย่อมเดือดร้อนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
คนทำชั่วย่อมเดือดร้อนทั้งสองโลก
เมื่อคิดได้ว่าตนทำแต่กรรมชั่วย่อมทุกข์ใจ
ตายไปเกิดในทุคติยิ่งเดือดร้อนหนักขึ้น

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
1
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 8 Visits: 16,615,740 Today: 1,251 PageView/Month: 87,248