คำตรัสของพระพุทธเจ้า(ซึ่งอยู่ในหลักฐานที่ถูกต้อง) ที่แสดงหลักการสำหรับใช้วินิจฉัยคำสอน และการประพฤติปฏิบัติทั่วไป ว่าถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาหรือไม่ เรียกง่ายๆ ว่า หลักตัดสินพระธรรมวินัย
หลักตัดสินพระธรรมวินัยนี้ พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีครั้งหนึ่ง และแก่พระอุบาลีเถระครั้งหนึ่ง
ชุดที่ตรัสแก่พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี มี ๘ ข้อ ใจความว่า
"ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อ
๑. สราคะ (ความติดใคร่ย้อมใจ)
๒. สังโยค (ความผูกรัดมัดตัวอยู่ในวังวนแห่งทุกข์)
๓. อาจยะ (ความพอกพูนกิเลส)
๔. มหิจฉตา (ความมักมากอยากใหญ่)
๕. อสันตุฏฐี (ความไม่รู้จักพอ)
๖. สังคณิกา (ความมั่วสุมคลุกคลี)
๗. โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน)
๘. ทุพภรตา (ความเป็นคนเลี้ยงยาก)
ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุสาสน์ (คำสอนของพระศาสดา)
ส่วนธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อ
๑. วิราคะ (ความคลายออกเป็นอิสระ)
๒. วิสังโยค (ความเปลื้องตนจากวังวนแห่งทุกข์)
๓. อปจยะ (ความไม่พอกพูนกิเลส)
๔. อัปปิจฉตา (ความมักน้อย ไม่มักมากอยากใหญ่)
๕. สันตุฏฐี (ความสันโดษ)
๖. ปวิเวก (ความสงัด)
๗. วิริยารัมภะ (ความเร่งระดมเพียร)
๘. สุภรตา (ความเป็นผู้เลี้ยงง่าย)
ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์"(วินย.๗/๕๒๓/๓๓๑)
ส่วนชุดที่ตรัสแก่พระอุบาลีเถระมี ๗ ข้อ ใจความว่า
"ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อ
๑. เอกันตนิพพิทา (ความหน่ายหายติดได้สิ้นเชิง)
๒. วิราคะ (ความคลายออกเป็นอิสระ)
๓. นิโรธ (ความดับกิเลสได้ไม่มีทุกข์เกิดขึ้น)
๔. อุปสมะ (ความสงบที่กิเลสระงับราบคาบไป)
๕. อภิญญา (ความรู้ประจักษ์ตรงต่อความจริงจำเพาะ)
๖. สัมโพธะ (ความตรัสรู้หยั่งเห็นความจริงเต็มพร้อม)
๗. นิพพาน (ภาวะดับทุกข์หายร้อนเย็นสนิท)
ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ (คำสอนของพระศาสดา)"(องฺ.สตฺตก. ๒๓/๘๐/๑๔๖)
ถ้าตรงข้ามกับข้างต้นนี้ ก็ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุสาสน์
ที่มา : กรณีธรรมกาย หน้า ๓๙-๔๐
พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๐ เมษายน ๒๕๔๒
,ฉบับเพิ่มเติม-จัดลำดับใหม่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๒
ขอบคุณพี่ DRAGON ครับ เห็นความเพียรความปรารถนาดีในฐานะอุบาสิกาของพี่ supa แล้วประทับใจครับ ขออนุญาตทำหน้าที่อุบาสก ร่วมสืบค้นลักษณะตัดสินธรรมวินัยที่พี่ supa คัดมานั้น ถึงหลักฐานอ้างอิงที่มา บริบทชัดเจน และร่วมศึกษาอย่างซื่อตรงต่อพระธรรม ครับผม
|