เมื่อคราวที่หลวงปู่ละสังขารในตอนเช้ามืดของวันพุธที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๓๓ นั้น ที่ร่างของหลวงปู่ พบว่าในมือข้างหนึ่งของท่านนั้นกำธนบัตรอยู่ ซึ่งผู้ที่ไม่รู้จักข้อวัตรของหลวงปู่มาก่อนก็อาจลังเลสงสัยไปต่าง ๆ นานา
จึงขอเฉลยให้ทราบเผื่ออนาคตอาจมีผู้นำเกร็ดประวัติหลวงปู่มาเผยแพร่แบบไม่ประติดประต่อหรือกระทำอย่างขาดความเข้าใจ ก็อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
ดังนั้น จึงถือโอกาสเล่าประวัติส่วนท้ายเพื่อทุกท่านจะได้ซาบซึ้งในปฏิปทาของหลวงปู่ และจะเคารพรักท่านยิ่งขึ้นไปอีก
คำเฉลยก็คือธนบัตรที่หลวงปู่กำไว้ในมือขณะมรณภาพนั้นเป็นเงินสังฆทานที่ทุกเช้าหลวงปู่จะหยิบออกมาเพื่อให้ศิษย์นำไปรวมถวายเจ้าอาวาส
ซึ่งโดยปรกติแล้ว ทุก ๆ เย็น หลวงปู่จะให้ลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้กลับบ้าน ช่วยกันนับปัจจัยแล้วเอาไปถวายเจ้าอาวาส (สมัยนั้นคือหลวงตาหลาบ) แต่บางคืน มีคนมาขอทำบุญสังฆทานกับหลวงปู่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีลูกศิษย์ที่จะช่วยเป็นธุระรวบรวมปัจจัยให้หลวงปู่ รวมทั้งอาจไม่เหมาะสมเพราะเจ้าอาวาสอาจจำวัดแล้ว หลวงปู่ก็จะเก็บไว้ก่อน รอว่าเมื่อถึงตอนเช้าท่านก็จะนำเงินออกมาเพื่อเตรียมส่งให้ทางวัดเป็นกองกลางของสงฆ์ต่อไป
คำว่า "ของสงฆ์" นั้น เป็นคำที่หลวงปู่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงปัจจัยเงินทองเท่านั้น หากยังหมายรวมถึงของทุกอย่างที่พระสงฆ์อุปโภคบริโภค
หลวงปู่เตือนลูกศิษย์เสมอ ๆ ไม่ให้เผลอไปหยิบฉวยหรือทำข้าวของ ๆ สงฆ์เสียหาย เพราะจะเกิดเป็นบาปเป็นกรรมและอาจเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุมรรคผล
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนมาก ๆ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือการที่หลวงปู่ได้บอกกับโยมอุปัฏฐากให้รู้เทคนิคหรือตำแหน่งที่จะสามารถเปิดประตูกุฏิของหลวงปู่จากด้านนอกได้ เผื่อว่ามีเหตุจำเป็นที่จะต้องเปิดประตูกุฏิท่าน (กรณีที่ท่านไม่สามารถเปิดสลักจากภายในให้ได้) ก็จะได้ไม่ต้องรื้อหรืองัดพังประตูเข้าไป อันจะเป็นเหตุแห่งการทำลายของสงฆ์ นี่หลวงปู่ท่านรู้ล่วงหน้า จึงบอกให้ลูกศิษย์ทราบเพียงไม่กี่วันก่อนที่ท่านจะมรณภาพอยู่ภายในกุฏิท่าน
หลวงปู่ท่านห่วงลูกศิษย์ ท่านปกป้องไม่ให้ศิษย์ต้องมีหนี้สงฆ์ นี้คือความรักอันบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นครูบาอาจารย์
ย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่หลวงปู่มรณภาพ แม้หลวงปู่จะทราบล่วงหน้าว่าใกล้เวลาที่ท่านจะละสังขารแล้ว หลวงปู่พูดให้ทุกคนเตรียมใจเป็นเดือน (จนหลายคนชักจะชิน เลยนึกว่าหลวงปู่พูดเล่น หรือเป็นเพียงพูดกระตุ้นให้ทุกคนขยันภาวนา โดยไม่ได้คิดว่าหลวงปู่จะละสังขารจริง ๆ) แต่ก็เป็นสัจธรรมว่าทุกคนมีป้ายประหารชีวิตมาแต่เกิด โดยมิได้ระบุวันเวลาให้ทราบชัดว่าจะตายเมื่อไร หลวงปู่ท่านก็เช่นกัน ท่านก็ไม่อาจกำหนดได้ว่าท่านจะละสังขารในชั่งโมงใด นาทีใด ที่สุดแล้ว เข้าใจว่าท่านมาทรุดลงตอนจะเปิดประตูออกจากกุฏิ เพราะท่านมีอาการโรคลิ้นหัวใจรั่วเป็นพื้นอยู่แล้ว
ปฏิปทาความสันโดษของหลวงปู่ที่ไม่สะสมปัจจัยเงินทองเป็นของส่วนตัวเลยนี้ นับว่าหาได้ยากจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่มีเงินทำบุญเข้ามาในแต่ละวันมิใช่น้อยเลยทีเดียว
จริง ๆ ผมควรต้องใช้คำว่า "มักน้อย" น่าจะเหมาะสมกว่าคำว่า "สันโดษ" คำว่ามักน้อยนี้ พระพุทธเจ้าสอนเฉพาะพระสงฆ์ แต่คำว่าสันโดษนั้น พระพุทธองค์สอนให้กับทั้งพระและฆราวาส คำว่าสันโดษยังเบากว่า แค่เป็นอยู่สมฐานะ พอใจในสิ่งที่ตัวเองหามาได้ เมื่อหามาได้มากก็สันโดษ พอใจของ ๆ ตัว ไม่ไปอิจฉาคนที่มีมากกว่าเรา แล้วก็ไม่เป็นอยู่อย่างเกินฐานะ แต่คำว่ามักน้อยนี้สิ แม้แต่ปัจจัย ๔ ก็ยังมีให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นจริง ๆ
โปรดช่วยกันจดจำว่า หลวงปู่ท่านทั้งสันโดษมักน้อย และทั้งถ่อมตน ท่านไม่เคยพูดทำนองว่าให้เอาท่านเป็นแบบอย่าง อะไร ๆ ก็ให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่างทั้งนั้น เวลาท่านจะพูดถึงตัวเอง ท่านจะพูดในทางลบเพื่อเป็นกำลังใจแก่ศิษย์ เช่น "ข้ายังเละ ๆ เทะๆ อยู่เลย" หรือ "ข้ายังมืดอยู่เลย" เมื่อศิษย์ที่กำลังรู้สึกว่าปฏิบัติยังไม่ถึงไหน ฟังท่านพูดอย่างนี้แล้ว ก็จะรู้สึกคลายความท้อใจลงไปได้มากทีเดียว
ดังนั้น คำพูดที่พากันกล่าวตู่ว่าเป็นคำพูดของท่านในทำนองว่า "ถ้าเดินรอยตามข้า ก็จะเป็นอย่างข้าฯ" หรือ "ถ้ามาได้ทันหลักธรรมของข้าฯ" จึงถือเป็นความไม่เคารพหลวงปู่ แม้เจตนาดี แต่ก็ขาดความรอบคอบ ที่สำคัญ ก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนในธรรมคำสอนหลวงปู่ไปเรื่อย ๆ อีกหน่อยคนภายหน้าจะแยกไม่ออกว่าธรรมอันไหนเป็นธรรมคำพูดของหลวงปู่แท้ ๆ ธรรมอันไหนเป็นเพียงนิมิตเสียงที่แว่วเข้ามาในจิตของนักปฏิบัติบางคน แล้วก็นำมาเผยแพร่ให้คนเข้าใจไปเองว่าเป็นคำพูดออกจากปากหลวงปู่
หลวงปู่มีแต่ให้เดินตามรอยพระพุทธเจ้า (ไม่ใช่องค์ท่าน)
หลวงปู่มีแต่ถ่อมตัวว่าพูดธัมม้งธัมมะไม่เป็น (ไม่ใช่ว่าท่านจะมาแสดงหรือวางหลักธรรมอะไรไว้เป็นล่ำเป็นสัน)
หากเคารพหลวงปู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ก็ต้องช่วยกันรักษาความบริสุทธิ์ในคำสอนหลวงปู่ อย่าได้นำคำพูดของเราไปใส่ปากครูอาจารย์ จะเป็นบาปเป็นกรรม ถึงแม้จะเป็นนิมิตที่เกิดกับเราจริง ก็ควรถือเป็นธรรมเฉพาะตัว ไม่ใช่ธรรมที่เป็นสาธารณะ แต่เหนืออื่นใด ด้วยความที่เรายังมีกิเลสอุปาทานอยู่ไม่น้อย ดังนั้น โอกาสที่นิมิตนั้นจะมีอุปาทานแทรกก็มีมากด้วยเช่นกัน จึงต้องพึงสังวร
ว่าจะเล่าเรื่องเหตุการณ์วันที่หลวงปู่มรณภาพให้ได้รับทราบเกร็ดเรื่องราวที่บางท่านอาจยังไม่ทราบ แต่เขียนไปเขียนมา ชักเลยเถิดไปไกลแล้วสิ ...ก็ถือว่ามีเหตุก็แล้วกันครับ
|