ในการปฏิบัติธรรมอย่างมีชีวิตชีวานั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพลังขับเคลื่อนที่สำคัญนั้นมาจากศรัทธาในตัวครูอาจารย์
ดังนั้น การเลือกครูอาจารย์ที่จะเป็นหลักให้แก่เราจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งในการพิจารณา ต้องอาศัยหลักอย่างน้อย ๒ ข้อคือ
๑. มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ให้ศรัทธาในตัวครูอาจารย์มาครอบงำดุลยพินิจของเรา แต่การจะมีดุลยพินิจที่ดีก็ต้องอาศัยการศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นไม้บรรทัดเทียบเคียงด้วย
๒. ดูปฏิปทาท่านนาน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสม่ำเสมอในการวางตัวต่อศิษย์ไม่ว่ารวยหรือจน การวางตัวในช่วงที่มีสิ่งกระทบ การปรารภเพื่อการคลุกคลีหรือไม่คลุกคลีกับผู้คน ความมักน้อยสันโดษ ตลอดจนมีการพูดธรรมะที่แฝงเรื่องเรียกลาภสักการะหรือไม่ เป็นต้น
เอาเป็นว่าเมื่อมาถึงขั้นได้ครูอาจารย์ที่ดีแล้ว เราก็ตั้งใจปฏิบัติตามที่ท่านสอน ชนิดที่ใครว่าถูกหลอกก็บอกกับตัวเองว่าจะเป็นไร ท่านหลอกให้เราได้ดี ดังที่ครูเขาหลอกให้เราเขียน ก-ข ก-กา จนผสมคำเป็นประโยคได้ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์ แต่อาศัยเชื่อ (ศรัทธา) ว่าท่านสอนด้วยเจตนาดีต่อเราแน่ ๆ จึงทำไปตามที่สอน เหตุผลต่าง ๆ ค่อยตามมาต่อเมื่อเราประสีประสา (มีสติปัญญา) มากขึ้น
ทีนี้สิ่งที่มักจะตามมาจนแทบจะเรียกว่าอัตโนมัติก็คือ "การติดครูอาจารย์" ซึ่งอาการของการติดครูอาจารย์จะทำให้เรามองข้ามครูอาจารย์ท่านอื่น และถูกกระทบใจได้ง่ายหากมีใครมาวิจารณ์ครูอาจารย์ของตนในทางไม่ชอบใจ หนักเข้าก็หลงติดยึดและให้ความสำคัญกับคำว่า "ศิษย์ก้นกุฏิ" หรือ "ศิษย์ใกล้ชิด" ที่หนักสุดเห็นจะเป็นเรื่องการขาดดุลยพินิจส่วนตัว กล่าวคือหากครูบาอาจารย์กล่าวผิดธรรม (แปลว่าเลือกอาจารย์ผิด) ก็ยังไม่มีวินิจฉัยแยกแยะถูกผิด ยังคงเห็นคล้อยตามชนิดกู่ไม่กลับ
ด้วยข้อเสียเหล่านี้กระมังที่ทำให้หลวงปู่กล่าวเตือนลูกศิษย์ว่า "แกอย่ามาติดข้านะ ให้ติดพระพุทธเจ้า"
เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มองไม่เห็นได้ง่าย ๆ ทำให้นักปฏิบัติจำนวนมากแม้บอกกับใคร ๆ ว่า "ฉันไม่ได้ติดครูอาจารย์ แต่ฉันติดธรรม" ซึ่งฟังดูถูกต้องทีเดียว แต่ถึงเวลาจริง กลายเป็นว่า "อาจารย์ข้า ใครอย่าแตะ"
อาจารย์ที่ปรารถนาลาภสักการะ ปรารถนาให้มีลูกศิษย์ลูกหาให้มาก ๆ ก็ย่อมพูดย่อมทำเพื่อให้ลูกศิษย์ติดหนึบ ไปไหนไม่รอด ต้องพึ่งอาจารย์ไปตลอดชีวิต
อาจารย์ที่ไม่ปรารถนาลาภสักการะ ไม่ปรารถนาจะมีลูกศิษย์มาก ๆ ก็ย่อมพูดย่อมทำเพื่อมิให้ลูกศิษย์ยึดติดในตัวท่าน หากแต่ส่งเสริมให้ยึดติดในพระพุทธเจ้าและพระธรรมอันบริสุทธ์ เพราะเป็นการยึดติดในสรณะที่เป็นที่พึ่งได้ เป็นที่พึ่งที่ฝากเป็นฝากตายได้อย่างปลอดภัย แล้วอาศัยที่พึ่งของจริงของแท้ขนิดนี้นี่เอง ก็จะทำให้ไปสู่จุดที่พ้นไปเสียจากการยึดติดทั้งมวล
|