บันทึกปฏิปทาการเผยแพร่ธรรมของหลวงปู่ไว้เพื่อชนรุ่นหลังได้รับทราบ
๑. หลวงปู่เน้นสอนแบบตั้งรับ
หลวงปู่ไม่เคยเดินสายไปเทศน์ที่ไหน ๆ มีแต่ตั้งรับ และตั้งรับชนิดว่ามาเมื่อไหร่เป็นได้เจอท่าน ใครมาจริงก็จะเจอของจริง
๒. หลวงปู่ไม่นิยมก่อสร้าง
ไม่ปรากฏว่าหลวงปู่สร้างถาวรวัตถุนั่นนี่ มีแต่บูรณะอุโบสถบ้าง กุฏิเสนาสนะในวัดบ้าง ซ่อมสะพานคนข้ามบ้าง บริจาคบำรุงการศึกษาให้เด็กนักเรียนบ้าง ให้เป็นทุนรักษาพระอาพาธบ้าง ฯลฯ แม้แต่พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ โต ๆ ก็ไม่เคยเห็นท่านสร้าง เพราะท่านเป็นคนบอกบุญใครไม่เป็น และไม่นิยมสร้างวัตถุ หากแต่เน้นสร้างคนให้เป็นพระ
๓. หลวงปู่ไม่นิยมองค์กรจัดตั้ง
ท่านสอนของท่านแบบชาวบ้าน ๆ จะมีอะไรขลุกขลักบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องให้ถึงขนาดจัดแบ่งแผนก หรือเป็นคณะ เป็นสำนัก หรือเป็นองค์กร เพราะท่านไม่ยัดเยียดธรรมะให้ใคร ๆ
ครั้งหนึ่ง ได้ยินท่านอุทานภายหลังอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์กรณีวัดไล่ที่ชาวบ้าน ว่า "ข้าว่าแล้วเชียว" คือท่านไม่เห็นด้วยกับการมุ่งขยายสำนักให้ใหญ่โตจนเป็นเหตุให้เกิดการเบียดเบียนกันขึ้น (คราวนั้น สำนักปฏิบัติใหญ่ได้ซื้อที่จากนายทุน แล้วส่งคนไปไล่ชาวบ้านที่เช่าที่ทำกินออกไป)
ดูเอาเถิด ขนาดข้าวเปล่าทัพพีเดียวที่ยาจกใส่บาตรพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ยังจำบุญคุณมิรู้ลืม นี่ชาวบ้านบางส่วนก็คือคนใส่บาตรพระสำนักนี้ ก็ยังบีบให้เขาจำต้องทิ้งที่ทำกินถิ่นอาศัยไป บ้างมีที่เป็นของ ๆ ตนก็ยังบีบให้เป็นที่ตาบอด จนต้องขายทิ้งทั้งน้ำตา
๔. หลวงปู่ชอบสอนด้วยการทำให้ดู
ไม่ว่าเรื่องขันติ เรื่องความสันโดษ เรื่องการรักษาอารมณ์ เรื่องความเมตตา เรื่องอุเบกขา หลวงปู่ท่านทำให้ดู ใครมีปัญญาก็จะได้เห็นแบบอย่างที่อยู่ตรงหน้า รวมทั้งเรื่องมงคลตื่นข่าวหรือเรื่องหมอดู ท่านก็ไม่ข้องแวะ
๕. หลวงปู่ใช้ฤทธิ์แบบไม่แสดง
หลวงปู่ท่านใช้ของท่านแบบเนียน ๆ มุ่งเอาผลคือความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมของลูกศิษย์เป็นที่ตั้ง มิใช่แสดงให้ลูกศิษย์มาอัศจรรย์กับเครื่องมือคือฤทธิ์ของท่าน
๖. ท่านไม่ได้สอนให้พอใจหรือหยุดอยู่เพียงแค่วัตถุมงคล
กับผู้ที่ยังข้องอยู่กับสิ่งที่ไม่เป็นมงคล หลวงปู่ท่านก็ยอมให้มาติดกับวัตถุมงคลไปก่อน จากนั้นท่านก็สอนเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้เขาหาพระเก่าพระแท้ในใจตนเองให้เจอ เพื่อเป็นหลักประกันว่า "ตนที่ฝึกดีแล้ว จะเป็นที่พึ่งแห่งตน" ดังพุทธพจน์ที่ว่า "ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่มีเพียงเท่านี้"
๗. หลวงปู่สอนให้สวดตัวเองยิ่งกว่ามนตร์ใด ๆ
สวดตัวเองก็คือด่าตัวเอง สอนตัวเอง ดังโอวาทของท่านที่ว่า "ตนไม่เตือนตนเอง จะให้ใครมาเตือน" สวดตัวเองก็ต้องอาศัยหลักธรรมใหญ่ที่ท่านเน้น นั่นก็คือ "หมั่นดูจิต รักษาจิต" มนตร์วิเศษภายนอกก็คือบทสรรเสริญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ใน ๗ ตำนาน และ ๑๒ ตำนาน ที่ท่านใช้เป็นหลัก มิใช่บทจักรพรรดิดังที่เผยแพร่กันอยู่ นี่ถ้าพระพุทธเจ้ายังอาลัยในสมบัติจักรพรรดิ พระองค์ก็คงยังต้องทุกข์จมอยู่ในวัฏฏะอีกนานแสนนาน และพวกเราก็คงไม่มีโอกาสพบแสงสว่างแห่งธรรมอีกนานแสนนานเช่นกัน พลังโลกียะ ฤาจะเปรียบกับพลังแห่งธรรมแท้ ...พลังที่จะพาเราออกจากวัฏฏะ มิใช่ข้องหรือจมอยู่กับวัฏฏะ
|