ในการปฏิบัติธรรมนั้น ครูบาอาจารย์ล้วนให้หลักที่ตรงกันว่า "กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปรารภความเพียรให้มาก" สำหรับเรื่องพูดน้อยนี้ เราสามารถจัดการตัวเองด้วยการไม่คลุกคลี หรือคลุกคลีกับคนอื่นให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น เพราะการคลุกคลีย่อมนำมาซึ่งการพูดมาก แล้วการพูดมากก็มักนำมาซึ่งการขาดสติ ในตอนไปปฏิบัติกับหลวงปู่ใหม่ ๆ ท่านมักพูดกระหนาบเพื่อไม่ให้เราเผลอไปคลุกคลีในระหว่างการปฏิบัติโดยให้โอวาทว่า "ให้ทำ (ปฏิบัติสมาธิภาวนา) ไม่ทำ ทำประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวออกมาจับกลุ่มกันอีกแล้ว ทีเวลาคุยกัน คุยกันได้นาน" ถ้าหวังเอาดีทางธรรม เราต้องรู้จักให้เวลาตัวเองเพื่อปลีกวิเวกบ้าง งับปากตัวเองไว้ให้ได้นาน ๆ แล้วภาวนาให้ต่อเนื่อง เราก็จะสังเกตเห็นลมหายใจของตัวเองที่ละเอียดขึ้น ความรู้เนื้อรู้ตัวก็ชัดขึ้น แต่ถ้าเผลอไปคลุกคลีไปพูดไปคุย ไม่นานหรอก ลมปราณในร่างกายก็หยาบอีก เวลามานั่งภาวนาใหม่ กว่าลมจะละเอียดต้องใช้เวลานานทีเดียว กายไม่สงบ จิตก็เลยพลอยไม่สงบ แต่ถ้ากายสงบ (กายวิเวก) ก็จะเป็นต้นทางพาให้จิตสงบ ดังนั้น จากกายวิเวก ก็พัฒนาสู่จิตวิเวก (จิตปราศจากนิวรณ์) จนกว่าจะพัฒนาให้ถึงที่สุดแห่งความวิเวก นั่นก็คือ อุปธิวิเวก (จิตปราศจากกิเลสเครื่องเสียดแทงใจ) การปฏิบัติ จะคว้าเอายอด (อุปธิวิเวก) เลยยังไม่ได้หรอก เอาเรื่องปากนี้ก่อน พูดให้น้อย ๆ คลุกคลีให้น้อย ๆ (คลุกคลีเท่าที่จำเป็น) หลายคน พอปฏิบัติเกิดปีติหน่อยแล้วอยากพูดอยากเล่า ก็ต้อง "งับปาก" ตัวเองไว้ ระลึกคำหลวงปู่ที่ว่า "เปิดหม้อแกงบ่อย ๆ แกงมันจะไม่หอม" ปฏิบัติบ่อยครั้งเข้า เข้าถึงอาการปีติบ่อย ๆ ก็จะได้คำตอบให้ตัวเองโดยไม่ต้องถามใคร ถ้าต้องรอถามคนอื่นทุกเรื่อง เวลาครูอาจารย์ที่ท่านฝึกตัวในป่าในเขา ท่านจะไปถามใครเล่า ท่านก็ต้องอาศัยความชำนาญในการปฏิบัติดังโอวาทหลวงปู่ที่ว่า "หมั่นทำเข้าไว้" ประกอบกับการฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต ช่างพินิจพิจารณา ก็จะก้าวไป ๆ ไม่ขัดข้องอยู่นาน สุดท้ายนักปฏิบัติก็ต้องหมั่นย้อนกลับมาทบทวนเรื่องพื้นฐานคือเรื่องการกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปรารภความเพียรให้สม่ำเสมอ โดยอาศัยตัวช่วยคือการไม่เที่ยวหาเรื่องเข้าไปคลุกคลี หาเรื่องทำกิจกรรมภายนอก ฯลฯ จนละเลยการงานทางใจอันเป็นภารกิจหลักของพวกเราแต่ละคน ๆ |