คุณพลายแก้วครับ
ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ และขอโทษหากมีบทความที่เขียนไปกระทบความรู้สึกของคุณ (รวมทั้งอีกหลาย ๆ ท่านที่ศรัทธาต่อหลวงตา...)
แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากให้ลองสวมหัวใจของอีกฝั่งหนึ่งดู
พวกเราได้เห็น ได้สัมผัส ได้ซึมซับปฏิปทาและโอวาทของหลวงปู่ และมีปณิธานที่จะเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ออกไปเพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก ดังนั้น สิ่งที่ไม่ใช่หลวงปู่พาทำเราก็ต้องบอกตามตรงว่าไม่ใช่
แต่ก็ต้องแยกแยะว่า สิ่งที่หลวงปู่ไม่ได้พา เราจะไปสรุปว่าไม่ถูกต้อง ก็มิได้
หัวใจที่จะให้เข้าใจเรื่องนี้คือ "ความพอดีแก่ความจริง"
อะไรเป็นปฏิปทาของหลวงตา... อะไรเป็นปฏิปทาของหลวงปู่ พูดบอกกันไปตามความเป็นจริง
แต่มันจะไม่เป็น "ความพอดีแก่ความจริง" ตรงที่เอาปฏิปทาความชอบส่วนตัว มาให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าหลวงปู่พาทำ
ไม่เป็นเรื่องแปลก หากหลวงปู่จะสอนบางคนแตกต่างออกไป แต่ผู้นั้นก็ต้องตระหนักว่าธรรมที่เขาได้จากหลวงปู่ เมื่อเทียบกับธรรมโดยรวมที่หลวงปู่สอนคนทั่วไปนั้นเป็นอย่างไร ควรแล้วหรือที่จะเอาธรรมเฉพาะตนไปเป็นสาธารณธรรม
ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น กรณีหลวงปู่สอนคนที่ยังไม่ได้เข้าวัดซึ่งยังติดสุราและการเที่ยวกลางคืนว่า "ให้แกนั่งสมาธิให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ" ในขณะที่ท่านสอนคนส่วนใหญ่ว่า "ให้แกปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ทั้งในยามที่ขยันและขี้เกียจ และทำให้มันจริง เพราะจะได้ (ผล) จริง อยู่ที่ทำจริง"
เราจะเห็นเป็นอย่างไร หากคนติดสุรานั้น จะเที่ยวสอนคนทั่วไปว่า หลวงปู่สอนให้ปฏิบัติแบบสบาย ๆ นะ ปฏิบัติวันละ ๕ นาทีก็พอ หลวงปู่พาทำแบบนี้นะ
ถามว่าจะมีคนได้ประโยชน์จากการปฏิบัติแบบสบาย ๆ วันละ ๕ นาทีไหม ก็ขอตอบว่ามีอย่างแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าบุญแล้ว แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านก็ไม่ให้ประมาท
อย่างไรก็ดี เราควรแยกระหว่าง "ประโยชน์จากแนวปฏิบัติดังกล่าว" กับ "คำสอนที่แท้จริงของหลวงปู่" เพราะแม้จะเกิดประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นการเสียโอกาสประโยชน์อย่างใหญ่จากคำสอนที่เป็นสาธารณธรรมของหลวงปู่ จริงหรือไม่ ก็คงต้องใคร่ครวญกันเอาเอง อย่าเพียงรอให้ "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" เพราะหลักฐานต่าง ๆ มันมีให้พิสูจน์อยู่ในปัจจุบัน
หาก (ความจริงของ) ปฏิปทาและคำสอนที่แท้จริงของหลวงปู่จะพาให้ผู้ปฏิบัติไม่เสียประโยชน์อันยิ่ง ทำไมเราจึงไม่เผยแพร่ออกไปให้ "พอดีแก่ความจริง" นั้น
หากความพยายามรักษาความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทาและคำสอนของหลวงปู่จะถูกมองว่าขัดกับโอวาทหลวงปู่ที่ว่า "คนดีไม่ตีใคร" ก็ขอได้โปรดทบทวนความหมายของ "คนดีไม่ตีใคร" ดังที่คุณเมธา (ผู้ซึ่งเป็นผู้บันทึกโอวาทดังกล่าวมาเผยแพร่) ได้ชี้แจงไปแล้ว ให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งนะครับ
ป.ล. ภาวนาคือคำที่มีความหมายกว้าง โดยรวมคือทุกวิธีที่ช่วยให้เกิดการพัฒนากายใจ เพราะฉะนั้น
การทำทานก็เป็นการภาวนา ...ฝึกจาคะคือเสียสละเพื่อประโยชน์
การรักษาศีลก็เป็นการภาวนา ...ฝึกควบคุมกายวาจาไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น
การสวดมนต์ก็เป็นการภาวนา ...ฝึกตะล่อมใจให้ค่อย ๆ เป็นสมาธิ หรือเจริญศรัทธาและปัญญาไปในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
การทำสมาธิ ก็เป็นการภาวนา ...ฝึกที่ตัวจิตโดยตรงทั้งด้านจิต (สมรรถนะทางจิต) และปัญญา
หยาบ กลาง ละเอียด ก็ไต่เต้ากันไป เขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะพระพุทธองค์ตรัสเตือนไว้ว่า "ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่มีเพียงเท่านี้" และ "วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่" |