luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   สนทนาเรื่องราวหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน  (Read: 32153 times - Reply: 24 comments)   
พลายแก้ว

Posts: 2 topics
Joined: 9/8/2553

สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
« Thread Started on 11/9/2554 10:28:00 IP : 58.11.59.142 »
 
Attached File...


คิดตั้งนาน ว่าจะโพสถามดีไหม..แต่ก้อ อดไม่ได้..ด้วยยังเต็มไปด้ายกิเลส ปกติจะเข้ามาอ่านอย่างเดียว..

ผมเคยไปกราบหลวงปู่สังข์ ( ศิษย์หลวงปู่ตื้อ พระอรหันต์ ) และ มีโยมถามเกี่ยวกับ หลวงตา..ประคำขาว ทางภาคเหนือ  หลวงปู่สังข์ท่านก้อเมตตาว่า "สิ่งที่หลวงตา..ประคำขาวสอนเป็นกรรมฐานใหญ่.."  พอมาอ่านในเวปก้อเลยสับสน ที่แน่ๆ หลวงปู่มหาบัว ท่านเคยตอบคำถามลักษณะนี้ ว่า การสวดมนต์ก้อคือ การภาวนา ..

ตามที่ผมเข้าใจ เพราะสายกรรมฐาน ก้อไปทำบุญเสมอ..การเข้าสมาธิของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน มีหลายหนทางทีจะเข้าสมาธิ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอริยบุคคลน่ะ อีกนาน..

ผมชอบคำสอนหลวงปู่ดู่ อยู่อย่าง " คนดี เค้าไม่ตีใคร .." ถ้าสิ่งใดไม่ดี ไม่จริง อยู่ได้ไม่นานหรอก..ต้นไม้หนึ่ง มีกิ่งก้านแตกกิ่งไปตามความอุดมสมบูรณ์ของสารอาหารที่มาจากรากแก้ว..ใบไม้ให้ความร่มเย็นแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย..ผลไม้ให้ความอิ่มเป็นสุขไม่ทุกข์เพราะหิว..อ๊อกซิเจนให้มวลหมู่สรรพสัตว์..ได้มีอากาศหายใจ..เช่นนั้นแล้ว..หน้าที่ของแต่ละคน แต่ละองค์ ย่อมไม่ไหมือนกัน ดั่งกองทัพ ที่ต้องมีแม่ทัพ รองแม่ทัพ..พลทหาร

สาธุในบุญครับ..

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
จำนวนข้อความทั้งหมด:  14
1
2
>
แสดงความคิดเห็น
metha

Posts: 127 topics
Joined: 9/12/2552

ความคิดเห็นที่ 1  « on 11/9/2554 13:13:00 IP : 183.89.239.114 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

กระทู้คุณพลายแก้ว เป็นกระทู้ที่มีประเด็นชวนคิดทีเดียว

๑. คนดีเขาไม่ตีใคร - เป็นธรรมะหลวงปู่ที่ผมได้บันทึกไว้และจัดพิมพ์ครั้งแรก
เมื่อกว่ายี่สิบปีมาแล้ว ต่อมามีคนนำไปตั้งเป็นกระทู้ตามwebต่างๆพูดคุยต่อๆกันไป
วันนี้เป็นโอกาสดีที่จะขยายความเมื่อมีคำถามที่ตามมา
ลองนึกดูเล่นๆ ตอบให้เป็นกำปั้นทุบดิน จะเห็นกันอย่างไร
พ่อแม่ "ตี" ลูกไม่เชื่อฟังเพื่อสั่งสอนด้วยความรัก = พ่อแม่ไม่เป็น "คนดี" ใช่ไหม
คุณครู "ตี" ลูกศิษย์ดื้อด้วยความห่วงใย = คุณครูคนนั้นเป็น "คนไม่ดี" หรือเปล่า
พระพุทธเจ้าฝากพระศาสนากับพุทธบริษัท๔ หากมีคำสอนที่ทำพระวินัยให้วิปริต
หรือวิปริตจากพระธรรมวินัย แล้วมีอุบาสก อุบาสิกา หรือใครท้วงติงคำสอน
ดังกล่าว บุคคลเหล่านั้นเป็นคนที่ไม่ดีหรือ
จะตอบคำถามนี้ได้ ต้องเข้าใจเรื่องธรรมชาติของความขัดแย้ง 
ความขัดแย้งมีสองแบบ แบบทำลายกับแบบสร้างสรรค์ 
แบบหนึ่งขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ สิ่งที่ตามมาคือการมุ่งทำลายกัน
อีกแบบหนึ่งขัดแย้งเรื่องความคิด หากความคิดนั้นเป็นสัมมาทิฏฐิมีปัญญาด้วยแล้ว
สิ่งที่ตามมาคือความเจริญของส่วนรวมเพราะเป็นความขัดแย้งในทางบวก
ไม่ประกอบด้วยโกรธ โลภ หลง
"คนดีเขาไม่ตีใคร" จึงมิได้มีความหมายว่า เห็นใครทำไม่ถูกแล้วนิ่งเฉย
ลองนึกดูต่อว่า หากเป็นเจ้าพนักงานไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษผู้กระทำความผิด
ทางการยังมีกฎหมายลงโทษในข้อหา - เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
การตีในที่นี้จึงหมายถึงแจ้งข้อหา ชี้แจงข้อหาการกระทำผิด สอบสวนจับกุม
ดำเนินคดี จนถึงจับเข้าคุกก็ยังได้กรณีที่คำพิพากษาถึงที่สุด

๒. อย่างไรคือภาวนา  - หากเข้าใจ "ความหมาย" มิใช่ "รูปแบบ" ดีแล้ว
จะไม่ถกเถียงกันเลยว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
หรืออะไรเป็นยากินยาทากันแน่ การ"สวดมนต์" ของบางคนอาจเป็นยากินก็ได้
ในทางกลับกัน ที่ว่า"ภาวนา" ของบางคน ทำไปทำมา ทำแบบนั้น
อาจเป็นเพียงยาทาก็ได้ ดังนั้น ยากินยาทาจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเห็นกับตา
ว่าบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมท่านนั้น นั่งสวดมนต์ หรือว่าเดินจงกรมนั่งสมาธิอยู่
ที่สำคัญคือ การรับรู้ความหมายที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติ
อย่างถูกต้องตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้หรือไม่ต่างหาก จึงเป็นเรื่องที่
แต่ละบุคคลที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ ต้องศึกษาให้รู้จริงและยิ่งเป็นผู้นำไปเผยแผ่
ก็ยิ่งต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะหากไม่ถูกต้องแล้วนอกจากทำตนให้เสื่อมเสีย
ยังชักจูงชักชวนคนที่ไม่รู้ให้พากันทำผิดกันต่อๆไป เป็นบาปใหญ่โดยไม่รู้ตัวทีเดียว

คนเราทุกคนต่างมีไม้บรรทัดของตัวเองที่ใช้วัดและประเมินทุกๆสิ่ง
ไม้บรรทัดนี้ต่างกันบ้างเหมือนกันบ้างตามมิติของประสบการณ์
แต่หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่ขึ้นกับการประเมินของแต่ละคน
หากแต่ผลที่ได้จะรู้ด้วยตนเองโดยสมควรแก่เหตุที่ตนได้ปฏิบัติ

ขออนุโมทนากับคุณพลายแก้วอีกครั้งและหวังว่าได้ตอบกระทู้ตรงประเด็นนะครับ

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
เด็กข้างวัด

Posts: 23 topics
Joined: 18/1/2553

ความคิดเห็นที่ 2  « on 11/9/2554 17:15:00 IP : 180.183.56.23 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 
metha Talk:

การ"สวดมนต์" ของบางคนอาจเป็นยากินก็ได้
ในทางกลับกัน ที่ว่า"ภาวนา" ของบางคน ทำไปทำมา ทำแบบนั้น
อาจเป็นเพียงยาทาก็ได้



สาธุ...

ดูจิตขณะสวดมนต์ก็ชื่อว่าเป็นการภาวนา

การเดินจงกรม นั่งสมาธิ แต่ขาดสติก็ไม่ถือว่าเราทำความเพียร

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 3  « on 11/9/2554 17:19:00 IP : 58.8.4.144 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 
metha

หากเข้าใจ "ความหมาย" มิใช่ "รูปแบบ" ดีแล้ว..

"จะไม่ถกเถียงกันเลยว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน " 

หรืออะไรเป็นยากิน ยาทากันแน่...

การ "สวดมนต์" ของบางคนอาจเป็นยากินก็ได้

ในทางกลับกัน ที่ว่า"ภาวนา" ของบางคน ทำไปทำมา ทำแบบนั้น
อาจเป็นเพียงยาทาก็ได้..

ดังนั้น ยากินยาทา..จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเห็นกับตา

 [/quote Talk:

[quote=metha

หากเข้าใจ "ความหมาย" มิใช่ "รูปแบบ" ดีแล้ว..

"จะไม่ถกเถียงกันเลยว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน " 

หรืออะไรเป็นยากิน ยาทากันแน่...

การ "สวดมนต์" ของบางคนอาจเป็นยากินก็ได้

ในทางกลับกัน ที่ว่า"ภาวนา" ของบางคน ทำไปทำมา ทำแบบนั้น
อาจเป็นเพียงยาทาก็ได้..

ดังนั้น ยากินยาทา..จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราเห็นกับตา

 



สาธุ...สาธุ...สาธุ

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
พลายแก้ว

Posts: 2 topics
Joined: 9/8/2553

ความคิดเห็นที่ 4  « on 11/9/2554 19:18:00 IP : 115.87.178.138 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

ขอบคุณพี่ metha ครับ ที่กรุณาตอบ..ที่ถามเพราะถึงแม้ผมไม่ทันกราบหลวงปู่ดู่ แต่เมื่อได้อ่านคำสอนหลวงปู่ดู่

จากหนังสือเมื่อหลายปีก่อน ผมก้อไปวัดสะแกเพื่อกราบหลวงปู่ที่กุฏิเดิม รู้สึกดีมาก ในตอนนั้นผมเชื่อว่ายังไม่มีใครรู้จักหลวงปู่ดู่มากนัก มีคนแค่ไม่กี่คนที่ไปถวายอาหารหลวงปู่ตอนเช้า เป็นอย่างนี้เป็นประจำทุกๆวัน เป็นปกติเมื่อพระเกจิไม่อยู่ ศิษย์ที่ห้อมล้อมอยู่ก้อกระจายไปตามทางที่จะไป บ้างก้อไปสายอีสาน บ้างก้อไปวัดเกจิ ที่น่าชื่นใจก้อยังมีกลุ่มเล็กๆไปถวายอาหาร ไปทำบุญกับหลวงปู่ดู่ น่าชื่นใจน่ะครับ ..

หลวงปู่ดู่มาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปอีกครั้ง หลังจาก หลวงตา..ประคำขาว ได้นำการสวดมนต์บทอัญเชิญพระหรือบทจักรพรรดิ์ ออกทาง อินเตอร์เน็ต สัก 5-6 ปีได้มั้ง..จากนั้นเวปต่างๆที่เกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ ก้อ เกิดขึ้นพร้อมเรื่องราวต่างๆ..

ส่วนการสอน การปฏิบัติ ของหลวงตา..ประคำขาว ถ้าจะเปรียบเทียบก้อคล้าย มโนยิทธิ ของวัดท่าซุง แค่ยึดภาพหลวงปู่ดู่เป็นกรรมฐาน ถ้าอีสานก้อเรียกว่า สังฆานุสติ..หลวงตาประคำขาวสอนให้นึกถึงหลวงปู่ดู่ และ สวดมนต์ ถ้าสายอีสานก้อเรียกว่า การม้างกาย..

แลกเปลี่ยนความรู้กันน่ะครับ เพราะ ผมเชื่ออยู่อย่างว่า "หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"

สาธุครับ

 

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 5  « on 12/9/2554 0:44:00 IP : 115.87.32.155 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

คุณพลายแก้วครับ

ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ และขอโทษหากมีบทความที่เขียนไปกระทบความรู้สึกของคุณ (รวมทั้งอีกหลาย ๆ ท่านที่ศรัทธาต่อหลวงตา...)

แต่ในขณะเดียวกัน ก็อยากให้ลองสวมหัวใจของอีกฝั่งหนึ่งดู

พวกเราได้เห็น ได้สัมผัส ได้ซึมซับปฏิปทาและโอวาทของหลวงปู่ และมีปณิธานที่จะเผยแพร่สิ่งเหล่านี้ออกไปเพื่อประโยชน์แก่คนหมู่มาก ดังนั้น สิ่งที่ไม่ใช่หลวงปู่พาทำเราก็ต้องบอกตามตรงว่าไม่ใช่

แต่ก็ต้องแยกแยะว่า สิ่งที่หลวงปู่ไม่ได้พา เราจะไปสรุปว่าไม่ถูกต้อง ก็มิได้

หัวใจที่จะให้เข้าใจเรื่องนี้คือ "ความพอดีแก่ความจริง"

อะไรเป็นปฏิปทาของหลวงตา... อะไรเป็นปฏิปทาของหลวงปู่  พูดบอกกันไปตามความเป็นจริง

แต่มันจะไม่เป็น "ความพอดีแก่ความจริง"  ตรงที่เอาปฏิปทาความชอบส่วนตัว มาให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าหลวงปู่พาทำ

ไม่เป็นเรื่องแปลก หากหลวงปู่จะสอนบางคนแตกต่างออกไป แต่ผู้นั้นก็ต้องตระหนักว่าธรรมที่เขาได้จากหลวงปู่ เมื่อเทียบกับธรรมโดยรวมที่หลวงปู่สอนคนทั่วไปนั้นเป็นอย่างไร ควรแล้วหรือที่จะเอาธรรมเฉพาะตนไปเป็นสาธารณธรรม

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น กรณีหลวงปู่สอนคนที่ยังไม่ได้เข้าวัดซึ่งยังติดสุราและการเที่ยวกลางคืนว่า "ให้แกนั่งสมาธิให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ" ในขณะที่ท่านสอนคนส่วนใหญ่ว่า "ให้แกปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ทั้งในยามที่ขยันและขี้เกียจ และทำให้มันจริง เพราะจะได้ (ผล) จริง อยู่ที่ทำจริง"

เราจะเห็นเป็นอย่างไร หากคนติดสุรานั้น จะเที่ยวสอนคนทั่วไปว่า หลวงปู่สอนให้ปฏิบัติแบบสบาย ๆ นะ ปฏิบัติวันละ ๕ นาทีก็พอ หลวงปู่พาทำแบบนี้นะ

ถามว่าจะมีคนได้ประโยชน์จากการปฏิบัติแบบสบาย ๆ วันละ ๕ นาทีไหม  ก็ขอตอบว่ามีอย่างแน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่าบุญแล้ว แม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านก็ไม่ให้ประมาท 

อย่างไรก็ดี เราควรแยกระหว่าง "ประโยชน์จากแนวปฏิบัติดังกล่าว" กับ "คำสอนที่แท้จริงของหลวงปู่" เพราะแม้จะเกิดประโยชน์ในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นการเสียโอกาสประโยชน์อย่างใหญ่จากคำสอนที่เป็นสาธารณธรรมของหลวงปู่ จริงหรือไม่ ก็คงต้องใคร่ครวญกันเอาเอง อย่าเพียงรอให้ "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" เพราะหลักฐานต่าง ๆ มันมีให้พิสูจน์อยู่ในปัจจุบัน

หาก (ความจริงของ) ปฏิปทาและคำสอนที่แท้จริงของหลวงปู่จะพาให้ผู้ปฏิบัติไม่เสียประโยชน์อันยิ่ง ทำไมเราจึงไม่เผยแพร่ออกไปให้ "พอดีแก่ความจริง" นั้น  

หากความพยายามรักษาความบริสุทธิ์แห่งปฏิปทาและคำสอนของหลวงปู่จะถูกมองว่าขัดกับโอวาทหลวงปู่ที่ว่า "คนดีไม่ตีใคร" ก็ขอได้โปรดทบทวนความหมายของ "คนดีไม่ตีใคร" ดังที่คุณเมธา (ผู้ซึ่งเป็นผู้บันทึกโอวาทดังกล่าวมาเผยแพร่) ได้ชี้แจงไปแล้ว ให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งนะครับ

ป.ล. ภาวนาคือคำที่มีความหมายกว้าง โดยรวมคือทุกวิธีที่ช่วยให้เกิดการพัฒนากายใจ เพราะฉะนั้น

การทำทานก็เป็นการภาวนา ...ฝึกจาคะคือเสียสละเพื่อประโยชน์

การรักษาศีลก็เป็นการภาวนา ...ฝึกควบคุมกายวาจาไม่ให้ไปเบียดเบียนคนอื่น

การสวดมนต์ก็เป็นการภาวนา ...ฝึกตะล่อมใจให้ค่อย ๆ เป็นสมาธิ หรือเจริญศรัทธาและปัญญาไปในพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ

การทำสมาธิ ก็เป็นการภาวนา ...ฝึกที่ตัวจิตโดยตรงทั้งด้านจิต (สมรรถนะทางจิต) และปัญญา

หยาบ กลาง ละเอียด ก็ไต่เต้ากันไป เขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะพระพุทธองค์ตรัสเตือนไว้ว่า "ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่มีเพียงเท่านี้" และ "วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่"

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
metha

Posts: 127 topics
Joined: 9/12/2552

ความคิดเห็นที่ 6  « on 15/9/2554 13:56:00 IP : 110.77.138.63 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

ข้อควรคิดต่อ สำหรับกระทู้ความคิดเห็นที่ 9 ของคุณพลายแก้ว
เท่าที่นึกออกมีอีก ๒ ประเด็นปัญหา คือ

ประเด็นที่ ๑
"...การรักษาคำสอนของหลวงปู่ให้เป็นข้อๆ ก้อทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
แต่ไม่ทั้งหมด และ ไม่มีทางที่จะเรียบเรียงได้หมดเพราะไม่มีใครที่จะอยู่
กับ
หลวงปู่ดู่ตลอดเวลา..."

ตอบด้วยความห่วงใย ๑
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านได้วางแบบแผนไว้อย่างชัดเจน
ว่าอะไรที่ใช่ของแท้ อะไรที่เป็นสิ่งแปลกปลอม โดยดูที่ลักษณะ
ตัดสินพระธรรมวินัย
การที่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูผู้เลิศหรือหลวงปู่ดู่จะพูดสอนใคร
ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่เรื่องแปลก และก็คงไม่มีใครได้ติดตามฟังทุกคำพูดของท่าน
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่...
"คำสอนของท่านนั้น ย่อมไม่ขัดกันเองและไม่ขัดกับหลักพระธรรมวินัย"
ดังนั้น บุคคลที่น่าเป็นห่วงคือผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย
และบุคคลที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่ตรงข้าม
กับพระธรรมวินัย

ทางเลือกก็คือ จะเชื่อและปฏิบัติอย่างเดิม หรือจะศึกษาหาความรู้เพิ่ม
ว่าหลักความจริงคืออะไรแน่ และปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์
ของตนและคนรอบข้าง

ประเด็นที่ ๒
"...และผมก้อไม่ได้เดือดร้อนเพื่อท่านใด..."

ตอบด้วยความห่วงใย ๒
คุณพลายแก้วและเพื่อนสมาชิกที่รักครับ
หากกฎจราจรมีว่าไฟเขียวให้ไป ไฟแดงให้หยุด
นาย ก ไม่เชื่อกฎจราจร จึงขับฝ่าสัญญาณไฟแดงเป็นประจำ
โชคดีที่แต่ละวันนั้น ถนนว่างไม่มีรถคันอื่นขณะฝ่าสัญญาณไฟ
นาย ก ก็คิดต่อว่า เห็นมั้ยล่ะ ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ขับไปสบายๆ เร็วดี
อยู่มาวันหนึ่ง วันดีคืนดี (คือวันร้าย) นาย ก ก็ขับรถฝ่าสัญญาณ
ไฟแดงเช่นที่เคยทำเป็นประจำ แต่ว่าวันนี้มีรถสวน
ผลที่ตามมา คือ ประสานงานเสียงดังสนั่นกลางสี่แยกนั่นเอง
แม้ นาย ก จะไม่เชื่อกฎจราจร หรือจะไม่เดือดร้อน ก็ไม่ใช่ปัญหา
แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ ความไม่เชื่อหรือความไม่เดือดร้อนของ นาย ก
ทำให้เกิดความเดือดร้อนทั้งแก่ นาย ก และ แก่ผู้อื่น (เมื่อถึงเวลา
ที่เรียกว่า "วันดีคืนดี")

ทางเลือกก็คือ จะคิดหรือพูดต่อไปว่าไม่เดือดร้อน หรือจะย้อนดูตัวเรา
ว่าเข้ากับนิทานสมมุตินี้หรือไม่ หากไม่เข้าก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากใช่
ก็ต้องแก้ไขใหม่ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตนและคนรอบข้างที่เป็นที่รัก
ของเรา

ผมเชื่อว่า หากขุนไกรพลพ่ายและนางทองประศรี ผู้เป็นพ่อและแม่
ยังมีชีวิตอยู่ก็จะบอก "พลายแก้ว" ด้วยรักและเป็นห่วงเช่นเดียวกันนี้...

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
metha

Posts: 127 topics
Joined: 9/12/2552

ความคิดเห็นที่ 7  « on 15/9/2554 14:39:00 IP : 110.77.138.63 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘

ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการนี้ มีมาใน โคตมีสูตร อังคุตตรนิกาย
เป็นถ้อยคำที่ตรัสแก่ประเจ้าแม่น้าโคตมี ซึ่งออกบวชเป็นภิกษุณี
ถือกันว่าเป็นหลักสำคัญ มีข้อความที่น่าสนใจเป็นพิเศษ อีกส่วนหนึ่ง
คือ เป็นหลักธรรมที่ทรงเลือกสรรมา ในลักษณะเป็นเครื่องตอบแทนคุณ
แก่บุคคลผู้ตั้งอยู่ในฐานะที่เป็นมารดา อีกส่วนหนึ่งด้วย
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นว่าการปฏิบัติอย่างใด จะเป็นไปถูกต้องตามหลัก
แห่งการดับทุกข์หรือไม่ ก็ควรใช้หลักเกณฑ์เหล่านี้เป็นเครื่องตัดสินได้
โดยเด็ดขาด ฉะนั้น จึงเป็นหลักที่แสดงถึงใจความสำคัญแห่ง
พระพุทธศาสนาอยู่ในตัว หลักเหล่านั้น คือ

ถ้าธรรม (การปฏิบัติ) เหล่าใด
๑. เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ
๒. เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ (คือทำให้ลำบาก)
๓. เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ (คือไม่เป็นการมักน้อย)
๕. เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความคลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก

พึงรู้ว่าธรรมเหล่านั้น ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่สัตถุศาสน์
(กล่าวคือคำสอนของพระศาสดา)
แต่ถ้าเป็นไปตรงกันข้าม จึงจะเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุศาสน์ คือ

๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย

จากหนังสือศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี หรือ ธรรมวิภาค นวกภูมิ
บรรยายธรรมะ ของ พุทธทาสภิกขุ ในพรรษา พ.ศ. ๒๕๐๐
 
โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
คุณชาย

Posts: 1 topics
Joined: 19/11/2552

ความคิดเห็นที่ 8  « on 15/9/2554 20:11:00 IP : 180.183.244.15 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

      ทุกคำถาม..คำตอบล้วนแต่น่ายกย่องและหยิบยกขึ้นมาพิจารณา แต่สิ่งที่สำคัญที่ผมซาบซึ้งมาตลอด ก็คือการที่พี่ ๆ รักษาปฏิปทาและแนวทางที่หลวงปู่สอนอย่างไม่ผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ทันหลวงปู่ แต่คำสอนอันเป็นตัวแทนของท่านยังคงถูกบันทึกผ่านตัวอักษรส่งผ่านกาลเวลามาให้เราได้อ่าน ได้รู้และทำความเพียรได้อย่างถูกทาง.. หากว่าแม้นไม่มีผู้ตั้งมั่นศรัทธาในคำสอนที่ถูกต้องและรักษาไว้แล้วไซร้...ป่านนี้คนรุ่นหลังอย่างผม ก็คงได้ลิ้มแต่ลูกกวาด เคลือบยาพิษ ซึ่งบางครั้ง กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว...

     โดยส่วนตัวก็เชื่อว่า นักปฏิบัติทุกคน ย่อมมีไม้บรรทัดภายในจิตใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งใดถูก..และ เหมาะควร สมควรแก่ตน   สมควรแก่ธรรม... กราบอนุโมทนาในทุกคำถามและคำตอบอีกครั้งครับ..สาธุ..สาธุ..สาธุ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
Mr.KK

Posts: 0 topics
Joined: none

ความคิดเห็นที่ 9  « on 22/9/2554 9:32:00 IP : 182.53.158.17 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

ขออนุโมทนาบุญ...ครับ สาธุ สาธุ สาธุ

และขอเป็นกำลังใจให้พี่ ๆน้อง ๆที่ร่วมกันรักษา รวมถึงเผยแพร่คำสอนปฏิปทาของหลวงปู่ดู่ (หลวงปู่ดู่องค์แท้) ออกไปอย่างกว้างขวางเพื่อยังประโยชน์แก่ตน และประโยชน์ท่านสืบไป...ครับ

ด้วยจิตคารวะสูงสุด

Mr.KK (โลกก็ให้ทำ ธรรมก็ไม่ทิ้ง)

 

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
น้อง

Posts: 5 topics
Joined: 17/3/2554

ความคิดเห็นที่ 10  « on 22/9/2554 12:10:00 IP : 124.121.237.194 »   
Re: สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน
 

เข้ามาอ่านเก็บเล็กผสมน้อย สอบทานความเข้าใจของตัวเองต่อคำสอนและธรรม

โมทนากับปุจฉาของคุณพลายแก้ว โมทนากับวิสัชนาของเพื่อนสมาชิกเป็นประโยชน์มาก

ปุจฉา    พระไตรปิฎกมีการสังคยานาครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเมื่อไร และเพราะอะไร เพื่ออะไร เหตุผลของการสังคายนาเหมือนกันทุกครั้งหรือไม่

ผลที่คาดว่าจะเกิดหลังการสังคยานาบรรลุเป้าหมายเพียงใด นอกจากดีกว่าไม่ทำเลย

การสังคยานาพระไตรปิฎก เป็นการพยายามถนอมรักษาให้พระไตรปิฎกเหมือน(ไม่วิปริต)คำของพระพุทธองค์ใช่หรือไม่

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
1
2
>
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   สนทนาเรื่องราวหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 6 Visits: 16,675,650 Today: 640 PageView/Month: 57,055