ได้เวลาตอบคำถามคุณ eka. เสียทีถือเสียว่าคุณ eka. เป็นตัวแทนของหลาย ๆ คนที่ยังสงสัยเรื่องนี้ และคราวนี้จะตอบชัด ๆ และคงไม่ตอบคำถามอย่างนี้ซ้ำ ๆ อีก
๑. ที่วัดสะแก ไม่มีบทสวดที่ชื่อ "บทสวดมหาจักรพรรดิ" มีแต่ "บทบูชาพระ" สมัยหลวงปู่ดู่ยังมีชีวิต ตลอดระยะเวลา ๖-๗ ปี ที่ได้ไปกราบท่าน ผมไม่เคยได้ยินท่านเรียกว่าบทสวดมหาจักรพรรดิ มีแต่เรียกว่า "บทบูชาพระ"
(แต่ตอนนี้คนที่ไม่ทันท่านคงรู้ได้ยากขึ้น เพราะมีความพยายามจากกลุ่มภายนอกวัด ในการจัดพิมพ์เผยแพร่บทสวดดังกล่าวโดยเปลี่ยนชื่อเป็นคาถามหาจักรพรรดิทั้งที่เป็นแผ่นหินบ้าง กระดาษหรือแผ่นพับบ้าง มาวางเผยแพร่และแจกฟรีอยู่ในวัดสะแก)
๒. หลวงปู่ดู่ไม่ใช่ผู้เรียบเรียงคาถาดังกล่าว ท่านพูดชัดเจนว่าท่านจดจำมาตั้งสมัยที่ท่านศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม
๓. หลวงปู่ไม่เคยพาสวดคาถาดังกล่าว ชนิดเอาเป็นข้อปฏิบัติหลักเพื่อความพ้นทุกข์พ้นภัย แล้วหลวงปู่ก็ไม่เคยพูดสรรพคุณหรืออานิสงส์พิสดารอย่างที่เผยแพร่กันอยู่
บทบูชาพระเป็นคาถาที่หลวงปู่ท่านสอน แต่สอนอย่างเป็นปัจจัยประกอบ หรือปัจจัยปลีกย่อย เอาเป็นที่สร้างกำลังใจ โดยท่านพูดว่า ใครสวดคาถานี้แล้วจะไม่จนหรือไม่อดอยาก
ให้สังเกตคำว่า "ไม่จน" นั้นต่างกันกับคำว่า "ให้รวย"
ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันได้ในหมู่ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ว่า การสวดคาถาดังกล่าว (รวมทั้งคาถาอื่นใดที่เป็นบทธรรม) ย่อมเป็นอุบายยังจิตของผู้สวดให้อยู่กับพระ เมื่อจิตอยู่กับพระ จิตย่อมไม่ตกต่ำ และย่อมมีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษามิให้ตกอับหรืออนาถา
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ อะไรเป็นปัจจัยหลักที่หลวงปู่สอนท่านสอน นั่นก็คือการภาวนาทั้งยืน เดิน นั่ง นอน แปลว่าถ้าปราศจากการปฏิบัติในปัจจัยหลักแล้ว ปัจจัยปลีกย่อยอย่างการสวดคาถาก็ย่อมไร้น้ำหนัก (เหมือนจะทำงาน แต่ปราศจากฐานที่ตั้ง) ตรงกันข้าม หากยกเอาปัจจัยประกอบมาถือเสมือนเป็นปัจจัยหลัก ก็ยิ่งเป็นการเดินผิดทาง
ข้อความข้างบนนั้นว่าไปตามข้อเท็จจริง ซึ่งผู้มาใหม่ยังมีทางพิสูจน์ความจริงได้ไม่ยากนัก เพราะผู้ที่มาปฏิบัติสมัยหลวงปู่ยังมีชีวิตที่ซื่อตรงต่อธรรมยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย สามารถไปสอบถามเอาได้
ถามว่าสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีมิใช่หรือ? คนเราชอบไม่เหมือนกัน
ก็ต้องถามต่อว่า
๑. จะสวดไปเพื่ออะไร
สวดเอาร่ำเอารวย สวดเอาจิตสงบระงับ สวดขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกันภัย สวดเอาโชคเอาลาภ หรือสวดเพื่อให้จิตน้อมเข้าหาธรรม หากวัตถุประสงค์ไม่เป็นธรรม การสวดก็ไม่เป็นธรรม (คือเป็นเรื่องโลก ๆ ไป)
๒. จะเอาอะไรมาสวด
ระหว่างสวดคาถากับสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยและหลักธรรมต่าง ๆ อย่างในบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น
ถ้าเป็นบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นละก็ หลวงปู่พาทำแน่นอน ขนาดท่านอายุมากแล้ว ท่านก็ยังทำวัตรเช้า-เย็น อย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา
โดยสรุป หากเราไม่ต้องการได้ชื่อว่า "เลยครูเลยอาจารย์" เราก็ไม่ควรไปบัญญัติหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ครูบาอาจารย์บัญญัติไว้ดีแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านเน้นอย่างหนึ่ง เรากลับไปเน้นอีกอย่างหนึ่ง หลวงปู่สอนว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน บรรดานักสวด ก็สวดกันจนไม่เหลือเวลาสำหรับการภาวนา สวดกันจนคอแห้ง สวดกันจนง่วงนอน แล้วจะเอาความพร้อมที่ไหนไปภาวนา ที่สำคัญ พากันไปเผยแพร่ว่าหลวงปู่ท่านพาทำอย่างนั้น แถมด้วยอานิสงส์อย่างพิสดารล้ำลึกที่บัญญัติเพิ่มเข้าไปให้ผู้มาใหม่เห่อเหิมไปตาม
ขอแถมอีกสักหน่อยว่า หากสวดทางขลังกันเป็นแบบมหกรรมแล้วจะมีผลดีผลเสียอย่างไร
ท่านสามารถหาคำตอบได้จากการศึกษาเรื่องปัจจัยที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญไปจากอินเดีย ที่ว่าศาสนาพุทธยุคนั้น (พ.ศ. ๑๖๐๐-๑๗๐๐) เป็นแบบมนตรยาน ทั้งพระทั้งโยมเอาแต่สวดทางขลัง ขาดการเจริญไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ไม่มีการศึกษาและปฏิบัติข้อธรรมวินัย ทุกคนต่างมุ่งพ้นทุกข์พ้นภัยหรือเข้าถึงบรมสุขด้วยการสวดทางขลัง ทำให้ยิ่งห่างจากหลักการพึ่งตนเอง ศาสนาพุทธจึงเสื่อมด้วยตัวของตัวเอง ก่อนที่พวกเตอร์กมุสลิมจะยกทัพมาลงดาบสุดท้าย ทำลายล้างศาสนวัตถุและศาสนบุคคลจนสิ้น
หวังว่าคุณ eka. และทุกท่านที่ลังเลสงสัยอยู่จะได้รับคำตอบ ซึ่งผมได้ยกมาตามข้อเท็จจริง มิใช่ด้วยความพอใจหรือไม่พอใจส่วนตัว
ขอจบด้วยประโยคที่ว่า
"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา" มิใช่ประพฤติปฏิบัติอย่างคนหลง อย่างมหายานบางนิกายเขาสร้าง "พระอาทิพุทธเจ้าบ้าง พระมหาไวโรจนะพุทธเจ้าบ้าง ฯลฯ มาเป็นเสมือนพระพุทธเจ้าองค์แรก (องค์ปฐม) หรือองค์ที่ยืนพื้นทุกยุคทุกสมัย เพราะความเชื่อที่ว่าพระสมณโคดมสอนคนไม่ถึงนิพพาน เพราะสอนด้วยกายเนื้อมีข้อจำกัด เขาจึงต้องสร้างพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ขึ้นในดินแดนสวรรค์มารอสอนชาวพุทธ หรือรอดลบันดาลความสำเร็จให้กับคนที่สวดมนต์เอ่ยนามพระองค์ ...ใครเขาให้กราบ เราก็กราบโดยไม่ศึกษา ทั้ง ๆ ที่เขากำลังประมาทในพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (เรากำลังอกตัญญูต่อพระพุทธเจ้าของเราอยู่ก็ยังไม่รู้ตัว) นั่นก็เพราะการไม่ศึกษา
"ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งกรรม" คือเชื่อมั่นว่าหากมุ่งผลอย่างไร ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยคือความเพียรของตนเป็นหลัก มิใช่รอพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับใด ๆ |