เวลาเราประสบทุกข์ เราก็มักจมอยู่ในห้วงความคิดคำนึงว่า "ทำไม ๆ ๆ" คล้าย ๆ กับว่าในโลกนี้ไม่มีใครทุกข์เท่าเราแล้ว การที่เราต้องประสบพบเจอเคราะห์กรรมนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
แต่พอเราได้ถอนตัวขึ้นจากปัญหา พิจารณาเหตุปัจจัยต่าง ๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง (ไม่คิดบนความชอบใจหรือไม่ชอบใจ) เราจะค่อย ๆ มองเห็นกระแสแห่งเหตุปัจจัย ที่สำคัญเราจะค่อย ๆ ยอมรับความจริงและลดคำว่า "ทำไม ๆ" จนกระทั่งไม่เหลือเลย
เวลาประสบทุกข์ จงนึกถึงนางปฏาจาราว่าทุกข์ของเราได้เสี้ยวหนึ่งของนางไหม ขนาดนางประสบทุกข์ถึงที่สุดอย่างนั้น นางยังตั้งตัวขึ้นมาได้ กระทั่งได้บรรลุธรรมสูงสุด
ถ้านึกถึงทุกข์ของนางปฏาจาราไม่ออก ก็จงนึกถึงทุกข์ของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเสียพ่อแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ตรองดูสิว่าเด็กที่ถูกเพื่อน ๆ พูดตอกย้ำให้ช้ำใจเรื่อย ๆ ว่า "ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่" จะรู้สึกอย่างไร
หลวงปู่เคยเล่าให้ลูกศิษย์บางคนฟังว่า ท่านอยู่ในความเลี้ยงดูของอา บางทีอาโมโหไล่ตีท่าน ถึงขนาดท่านต้องเข้าไปกอดขาของอาไว้เพื่อให้อาหยุดตีท่าน ยามว่างที่ท่านจะได้ผ่อนคลายก็คือยามที่ไปนั่งใต้ต้นไม้อยู่ในท้องไร่ท้องนา ความรู้สึกเควิ้งคว้างว่างเปล่าทำไมจะไม่เกิดกับหลวงปู่
เมื่อท่านโตเป็นวัยรุ่น เพื่อนคนหนึ่งชวนท่านไปบ้าน ยังไม่ทันก้าวขึ้นบันไดบ้าน ท่านก็ได้ยินเสียงแม่ของเพื่อนพูดเตือนเพื่อนของท่านว่า "เด็กคนนี้คบไม่ได้" ได้ยินเท่านั้น ท่านก็เดินออกจากบ้านนั้นมาเลย
การเกิดมาโดยไม่มีพ่อแม่เลี้ยงดูคุ้มครองป้องกันภัย มันช่างเป็นความอนาถาเสียนี่กระไร
บางที่เราอาจเผลอคิดว่าครูบาอาจารย์ท่านมีบารมีมาก ท่านคงไม่มีทุกข์มาเยือนหรอก ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง ยิ่งครูบาอาจารย์ทางอีสาน ที่เกิดในดินแดนแร้นแค้นในยุคนั้น ท่านล้วนลำบากกันมากทั้งการหาอยู่หากิน และเรื่องกระทบทางใจที่รุนแรงอื่น ๆ ตามแต่กรรมที่ท่านเคยทำเอาไว้ กว่าจะได้มาเป็นครูบาอาจารย์ในเวลาต่อมา
และแม้จะมาเป็นครูบาอาจารย์แล้วก็ตาม ภาระและเรื่องกวนใจต่าง ๆ ก็ย่อมมากตามเป็นธรรมดาของการมีคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมาก
ที่เล่ามานี้ก็เพียงต้องการบอกพวกเราว่า ทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ทุกข์เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรากำหนดรู้ ถ้าไม่รู้หรือไม่ซึ้งกับทุกข์ ก็ไม่รู้จะมีแรงบันดาลใจอะไรให้อยากออกจากสุ่ม แต่เจ้ากรรม กิเลสมันก็คอยตามสอนเราว่า เวลาประสบทุกข์ เราควรหาสิ่งสนุกเพลิดเพลินอื่นมาเป็นเครื่องกลบเกลื่อนทุกข์เสีย เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก
สุดท้ายจึงมาจบที่คำหลวงปู่ (ซึ่งก็คือคำพระพุทธเจ้านั้นแหละ) ที่ว่า "จงเตือนตนด้วยตนเอง ตนไม่เตือนตนแล้วจะให้ใครมาเตือน"
เตือนให้มองให้เห็นทุกข์ เตือนให้ละเหตุแห่งทุกข์ เตือนให้ยึดที่หมายคือความพ้นทุกข์ที่จะไม่กลับมาเป็นทุกข์ได้อีก เตือนให้เพียรก้าวเดินในหนทางสู่ความพ้นทุกข์ คือความไม่ยึดมั่นหมายมั่นทั้งหยาบ กลาง ละเอียด
...พระท่านคอยจะช่วยเหลืออยู่ |