ภาพถ่ายโดย คุณวรวิทย์ ด่านชัยวิจิตร

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับศิษย์หลวงปู่
พี่วรวิทย์ ด่านชัยวิจิตร
ผู้ที่เป็นคนชักชวนให้ผมได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่
เมื่อกว่าสามสิบปีก่อน
พี่วิทย์ เป็นชื่อที่พวกเราเรียกกันติดปาก
พี่วิทย์ ไม่รู้สึกเหนื่อยยากหรือลำบากเลย
ที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวจากอยุธยาตั้งแต่เช้ามากรุงเทพฯ
มารับพวกเราหลายคน พามากราบหลวงปู่ที่วัดสะแก
ตกบ่ายเย็นก็จะขับกลับมาส่งเพื่อนๆน้องๆที่ กรุงเทพฯ
กว่าจะถึงบ้านแต่ละคนก็มืดก็ค่ำ
แล้วยังต้องขับกลับบ้านตัวเองที่อยุธยาอีก
ทำอย่างนี้เป็นปี นับเป็นสิบครั้ง
เพื่อให้พวกเราได้มารู้จักหลวงปู่ ได้มาฟังท่านสอน
ฟังท่านพูดคุย มาสัมผัสความเมตตาของท่าน

มีอยู่วันหนึ่ง พี่วิทย์มีคำถามถามหลวงปู่
หลังจากนั่งสมาธิจนเกิดความสงบ
และได้พิจารณาข้อธรรมจนเห็นอะไรบางอย่าง
หลวงปู่ตอบว่า
"นั่นแหละ! ธาตุสี่"

จากนั้น ท่านก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
ศิษย์คงต้องไปปฏิบัติกันต่อเอง

ผมเองพกความสงสัย แต่ไม่ลืมคำตอบของหลวงปู่
อยู่เป็นแรมปี ภาวนาไป ปฏิบัติไป พิจารณาไป
ทบทวนคำสอนท่านอยู่บ่อย ๆ

จนวันหนึ่งได้มีโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่
เรื่องการพิจารณากาย
ภายหลังจากภาวนาจนจิตสงบได้ในระดับหนึ่ง
หลวงปู่ท่านสอนไว้อย่างไร
คืนพรุ่งนี้
เรามาติดตามฟังกันต่อ ...

นอนหลับฝันดี
มีหลวงปู่อยู่ในใจครับ

ไม่ได้รู้จักพี่โจเป็นการส่วนตัว

รู้จักจากข้อเขียนของพี่เขา

หรือบทความที่มีผู้นำมาถ่ายทอด

และได้แง่คิดหลายอย่าง

สุดท้าย ไม่พ้น

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ธาตุ 4  ใช่ ธาตุดิน  น้ำ ลม ไฟ รวมกันเป็น ขันธ์ หรือไม่

คนตายกับสัตว์ตาย ต่างกันอย่างไรครับ

ตอบคุณวิษณุ

คำว่า "ขันธ์" แท้จริงมีความหมาย

ไม่ใช่เพียงที่คนทั่วไปเข้าใจว่าหมายถึง

ร่างกายเท่านั้น

ยังมีความหมายที่กว้างกว่านั้น เช่น ขันธ์ ๕

ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดู

ที่พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารณาธาตุ ๔

ก็เพื่อให้หมั่นคิดถึงความจริงว่า

ร่างกายเราถ้าแบ่งเป็น 4 กอง แบบนี้

ตรงไหนที่ว่าเป็นเรา เป็นของเรา

ส่วนคำถามที่สอง

คนตาย สัตว์ตาย มีทั้งเหมือนทั้งต่างกัน

แล้วแต่มุมมอง

หลวงปู่เคยบอกว่า

จิตที่ออกจากร่างสัตว์ที่ตายนั่น

ก็เหมือนกันกับคนเรานี่ล่ะ

จะไปไหนก็แล้วแต่กรรมที่ทำ