ต้องยอมรับว่าการปฏิบัติธรรมในแนวทางที่เรียกกันว่า “การดูจิต” นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากในปัจจุบัน ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีเพื่อน ๆ หลายคนสงสัยถามกันมาไม่น้อยในเรื่องนี้ จึงทำให้ระลึกทบทวนว่าหลวงปู่ดู่ท่านสอนเรื่องการดูจิตไว้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพราะหลวงปู่มักสอนลูกศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต ของดีก็อยู่ที่ตัวเรา ของไม่ดีก็อยู่ที่ตัวเรา”
ก่อนอื่นต้องขอเน้นย้ำว่าไม่ได้มาฟันธงว่าแบบใดผิด แบบใดถูก หากแต่กล่าวถึงเพียงอุบายวิธีที่หลวงปู่ท่านสอนเพื่อแก้ข้อสงสัยของผู้ที่สงสัยถามมาเท่านั้น ซึ่งสรุปความแตกต่างไว้ใน ๓ ประเด็น ดังนี้ครับ
๑. การแทรกแซงหรือบังคับจิต
ประเด็นนี้แตกต่างกันอย่างมาก เพราะแนวทางการดูจิตที่นิยมกันอยู่ในปัจจุบัน เน้นการไม่เข้าไปแทรกแซง บังคับ หรือปรุงแต่งจิต ในขณะที่แนวทางอุบายที่หลวงปู่ดู่ท่านสอนนั้น ท่านให้บังคับจิต ฝึกฝืน อบรมจิต สอนจิตเจ้าของ เป็นต้นว่าพิจารณาสิ่งที่ดูที่เห็นว่ามีคุณมีโทษอย่างไร
ท่านว่าเราต้องหลอกล่อมันเสียก่อนจนกว่ามันจะฉลาดหรือแข็งแรงพอจะช่วยตัวเองได้ ดังที่ท่านสอนว่าเราต้องอาศัยการหลอกให้เขียน ก ข ก กา หลอกตั้งแต่ขั้นที่เขียนไม่เป็นตัวหนังสือ กระทั่งเขียนได้สวยงาม กระทั่งแต่งเป็นประโยค เป็นร้อยแก้ว ร้อยกรองขึ้นมาได้ ทั้งหมดนี้ ก็อาศัยการหลอก (คือการปรุงแต่งสอนใจเจ้าของ) ทั้งสิ้น
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ ยอมใช้สัญญาและการปรุงแต่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรุงแต่งไปในทางให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปรุงแต่งให้จิตเกิดธรรมสังเวช ซึ่งวิธีนี้ก็เหมือนเราเอาขวานมาฟันโคนต้นไม้ ฟันไปเรื่อย ๆ ถึงคราวต้นไม้จะโค่น มันก็โค่นไปในทิศที่เราอุตส่าห์ฟันซ้ำ ๆ ไปตรงที่เดิมนั้นเอง
ดังนั้น ท่านจึงมิได้พูดเฉพาะ “ดูจิต” หากแต่มีคำว่า “รักษาจิต” ด้วย นั่นคือให้มีการแทรกแซง หรือหาอุบายแยบคายเพื่อสอนใจ อบรมใจ ให้ฉลาดต่อสิ่งที่ประสบหรือสิ่งถูกดู/ถูกรู้ที่เรียกว่าอารมณ์ เพื่อจะได้ไม่หลงกับมัน จนเกิดทุกข์เกิดโทษ การดัดจิตที่หลวงปู่สอนนี้จึงสอดคล้องกับพุทธพจน์ที่ว่า “นักปราชญ์ย่อมทำจิตที่ดิ้นรนกลับกลอก รักษาได้โดยยาก ห้ามได้โดยยากให้ตรง ดังช่างศรดัดลูกศรให้ตรง ฉะนั้น” และ “พวกคนไขน้ำก็ไขน้ำไป ช่างศรก็ดัดลูกศร พวกช่างถากก็ถากไม้ พวกบัณฑิตผู้มีวัตรอันงาม ก็ฝึกฝนตน”
ในภาคการปฏิบัติ หลวงปู่ท่านจึงให้ตะลุมบอน มีทั้งการปรุงแต่งปลุกปลอบใจ ให้กำลังใจตัวเอง (มิใช่ดูเฉย ๆ แบบไร้การปรุงแต่ง) และก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่จะตั้งสมมุติขึ้นก่อน (หลวงปู่สอนบ่อยครั้งว่าต้องอาศัยสมมติขึ้นก่อน แล้ววิมุติจึงจะตามมา หรืออาศัยสัญญาในเบื้องต้นก่อน แล้วปัญญาแท้จึงจะตามมา) เช่น ตั้งนิมิตขึ้นมาก่อนบ้าง หยิบยกหัวข้อธรรมขึ้นมาพิจารณาบ้าง บางครั้งก็ถึงขั้น (ปรุงแต่ง) ด่าตัวเอง ให้คลายความโง่ความหลงบ้าง
การปฏิบัติในภาคสนามแบบหลวงปู่จึงเป็นแบบมวยวัด เต็มไปด้วยการปรุงแต่งสอนใจ ข่มใจ ปลุกปลอบใจเจ้าของให้อาจหาญร่าเริงในธรรม โดยต้องช่วยประคับประคงจิตเจ้าของที่เบื้องต้นก็เหมือนเด็กเล็กซึ่งยังไม่ต้องพูดถึงการวิ่ง เอาแค่ยืนให้มั่นคงก็ยังยาก จึงต้องอาศัยการประคับประคองจิตให้จิตนั้นทรงตัวอยู่ได้ ก่อนที่จะทรงตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ (ของผู้ที่โตแล้ว หรือผ่านการฝึกฝนอบรมมาดีแล้ว)
การบังคับหรืออบรมจิตในระหว่างแห่งการปฏิบัตินี้อุปมาเหมือนออกแรงป่ายปีนภูเขาด้วยวิริยะอุตสาหะ ต่อสู้กับความเหนื่อยยากทั้งภายนอกภายใน ก่อนที่จะไปหยุดนั่งอยู่บนยอดเขาอย่างผู้เจนจบในชีวิต หรือผู้ที่พิชิตอุปสรรคต่าง ๆ มาหมดสิ้นแล้ว จึงนั่งมองมาเบื้องล่าง ดูความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ด้วยความวางเฉย และสงบเย็น ชนิดที่เรียกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ฯลฯ อันเป็นผลจากการป่ายปีนขึ้นมาถึงจุดนี้
๒. การอาศัยฐานการเจริญกรรมฐานที่เพียงพอ
ประเด็นนี้ก็แตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน เพราะแนวทางการดูจิตในปัจจุบัน ไม่เน้นการเจริญกรรมกรรมฐาน ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นคล้ายครูบาอาจารย์ทางอีสานที่ส่งเสริมให้นั่งสมาธิ และอาศัยการบริกรรมภาวนา กล่าวโดยรวมคือหลวงปู่ท่านให้ยึดหลักว่าต้องเจริญทั้งส่วนของศีล สมาธิ และปัญญา อย่างเพียงพอและกลมกลืน (มรรคสมังคี) ซึ่งแม้ปัญญาและวิมุติ จะเป็นที่ปรารถนา แต่ก็ไม่มองข้ามอุปกรณ์หรือเครื่องมือคือสมาธิ เป็นเหมือนบันไดในการขึ้นไปยังชั้นบน หากไม่อาศัยบันได แล้วกระโดดขึ้นชั้นบนเลย นอกจากขึ้นไมได้แล้ว ยังเจ็บตัวเปล่าอีกด้วย ดังคำสอนเตือนของหลวงปู่ที่ว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น”
นอกจากหลวงปู่จะเน้นการเจริญสมาธิเพื่อให้จิตทรงตัวเพียงพอจะใช้เป็นฐานในการมองดูและพิจารณาอะไร ๆ ให้ชัดเจนแล้ว หลวงปู่ยังมุ่งให้เกิดสมาธิและปีติ เป็นความอิ่ม ความพอ ในจิตใจ มิเช่นนั้น จิตจะโหยหาอารมณ์ ตกเป็นทาสของนิวรณ์ ยากจะเอาจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ไปใช้การใช้งานได้
๓. การตรวจสอบสภาวะจิตเจ้าของ
ดูเหมือนว่าวิธีดูจิตที่เป็นอยู่ บรรดาศิษย์จะนิยมอาศัยการพยากรณ์ (ตรวจสอบ) วาระจิตจากครูอาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าจิตของผู้ปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้าง มีความก้าวหน้าหรือต้องปรับปรุงอย่างไร ในขณะที่แนวทางที่หลวงปู่สอน จะเน้นให้ตรวจสอบใจเจ้าของเอง ดังที่ท่านเน้นบ่อย ๆ ว่าให้หมั่นสำรวจโลภ โกรธ หลง ในใจตัวเราเอง เพื่อให้สามารถเป็นครูเป็นอาจารย์สอนตนเอง เตือนตนด้วยตนเองให้ได้
โดยสรุปก็คือ แนวทางการดูจิตของหลวงปู่ ต้องอาศัยการปรุงแต่งหรือการฝึกจิต ดัดจิต เพื่อรักษาใจด้วยการชำละล้างโลภ โกรธ หลงออกจากใจ โดยอยู่บนหลักการที่ว่าทุกอย่างต้องมีขั้นมีตอน จะลัดเอาไม่ได้ และเน้นการตวจสอบตัวเอง เตือนตัวเอง ที่สำคัญ การดูจิต รักษาจิต ต้องอยู่บนฐานของจิตที่ควรแก่การงาน นั่นก็คือจิตที่เป็นสมาธิ มีการทรงตัว (ไม่ซัดส่ายง่าย ๆ) มีปีติและกำลังแห่งจิตที่พอตัว |