ความผิดต่อคำสอนนั้นมีได้ ๒ แบบ คือ ๑. การประพฤติที่วิปริตไปจากคำสอน และ ๒. การทำคำสอนให้วิปริต
การประพฤติที่วิปริตจากคำสอน ถือเป็นความผิดที่รุนแรงน้อยกว่าประการหลัง เพราะถือเป็นความผิดเฉพาะที่ตัวเรา ส่วนคำสอนต่าง ๆ ไม่ถูกกระทบหรือทำให้มัวหมอง
ส่วนการทำคำสอนให้วิปริตไปนี้ จัดเป็นความผิดที่รุนแรงกว่าข้อแรกอย่างมาก เพราะทำให้เนื้อตัวของคำสอนผิดเพี้ยนไป ส่งผลกระทบกับคนจำนวนมาก เพราะทำให้หลงทางหรือเสียโอกาสในสิ่งที่ควรได้ควรถึง เพราะไปหลงยึดเอาคำสอนที่ผิดมาปฏิบัติ
บุคคลหรือคณะบุคคลที่ยุ่งเกี่ยวกับการเผยแพร่ธรรมะคำสอน ต้องตระหนักในเรื่องความผิดพลาดทั้งสองประการข้างต้นให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประการหลัง ไม่อย่างนั้นบุญจะไม่คุ้มบาป และถือว่าขาดความเคารพครูบาอาจารย์ เพราะบางครั้งเอาคำพูดของเราไปอ้างว่าเป็นคำพูดของครูบาอาจารย์ ชนิดที่ว่า “เอาคำของเราไปใส่ปากครูอาจารย์” ทำให้คนฟังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคำพูดออกจากองค์ท่านจริง ๆ ซึ่งถึงแม้จะมีเนื้อหาเป็นธรรม (ตามทัศนะของเรา ณ วันนี้) แต่ก็จัดว่าเป็นการกระทำที่ขาดความเคารพและไม่ซื่อสัตย์ต่อครูอาจารย์
โดยสรุป ในการเผยแพร่คำสอนของหลวงปู่หรือครูอาจารย์ท่านใดก็ตาม เราควรต้องรักษาความบริสุทธิ์ในคำพูดคำสอนของท่าน โดยจะไม่คิดเอาเอง หรือเอาความรู้ในทางนิมิตมาเผยแพร่ เพราะมันสุ่มเสี่ยงว่าจะมีอุปาทานแทรกซ้อนได้ แม้จะมีเจตนาที่บริสุทธิ์ หรือข้อความดังกล่าวแลดูเป็นอรรถเป็นธรรมก็ตาม (ถ้าแลดูเป็นอรรถเป็นธรรม ก็เผยแพร่ได้แต่ควรเผยแพร่กับบุคคลใกล้ตัวเท่านั้น มิใช่เผยแพร่กับสาธารณะ รวมทั้งต้องบอกที่มาที่ไปที่ชัดเจน ว่าไม่ได้มาจากปากท่านในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หากแต่เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นที่จิตเรา)
นอกจากนี้ หากเป็นคำสอนที่จำสืบ ๆ กันมา แต่เข้ากันไม่ได้กับคำสอนโดยรวมของท่าน เราก็ต้องละไว้ ไม่นำมาเผยแพร่ โดยให้สันนิษฐานว่ามีการจดจำและเล่าสืบ ๆ กันมาจนเกิดความคลาดเคลื่อน หรืออาจเป็นคำสอนเฉพาะบุคคลจริง ๆ ซึ่งไม่เหมาะจะเผยแพร่เป็นสาธารณะ เพราะอาจทำให้คนหมู่ใหญ่สับสน
บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าเห็นคำสอนของหลวงปู่ทวด หรือสมเด็จโตฯ เผยแพร่ออกมาเป็นล่ำเป็นสัน พอสืบค้นไปแล้วพบว่ามีที่มาจากสำนักทรงบ้าง จากการนั่งสมาธิของใครบางคนบ้าง การเผยแพร่อย่างนี้หากเป็นไปอย่างกว้างขวางมากขึ้นก็จะทำให้คำพูดแท้ ๆ ของหลวงปู่กับคำพูดผ่านนิมิตของใคร ๆ มาปะปนกันจนแยกไม่ออก ไม่รู้อันไหนเป็นคำสอนจริง ๆ ของท่าน ซึ่งจริง ๆ แล้ว โอวาทของหลวงปู่ทวดนั้นจะมีมาเผยแพร่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านละสังขารไปตั้งกว่า ๔๐๐ ปีมาแล้ว ขนาดว่าพระดำรัสของพระมหากษัตริย์ไทยในยุคนั้นก็ยังไม่มีเหลือถึงปัจจุบันเลย
ดังนั้น หากเราคิดว่าหลวงปู่เป็นครูบาอาจารย์เรา และเป็นดั่งพ่อแม่ของเรา ก็โปรดช่วยกันรักษาความบริสุทธิ์ในคำสอนของท่าน และพิจารณากลั่นกรองให้ดีก่อนเผยแพร่ออกไป หากเป็นคำสอนที่ผุดรู้ขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน และอยากที่จะเล่าเพราะเห็นว่ามีเนื้อหาที่เป็นประโญชน์ ก็ให้เล่าเฉพาะหมู่เพื่อนใกล้ตัว รวมทั้งควรบอกที่มาที่ไปให้ชัดเจน ไม่ควรให้คนอื่นเขาเข้าใจผิด
ในสมัยหลวงปู่มีชีวิต เวลานักปฏิบัติได้นิมิตหลวงปู่มาสอนธรรมะ และเขานึกอยากจะเล่าให้หมู่เพื่อนใกล้ตัวฟังเพื่อเจริญศรัทธา เขาก็มักจะเริ่มต้นคำพูดว่า “ถ้าผมไม่เพี้ยนไป หรือไม่เป็นเพราะปรุงแต่งจิตไปเอง เมื่อคืนในขณะที่ผมปฏิบัติกรรมฐาน ผมได้ยินหลวงปู่มาสอนว่า....................................” เป็นต้น
หากลูกศิษย์ไม่ว่าทันหรือไม่ทันท่าน ละเลยต่อการรักษาความบริสุทธิ์ในคำสอนของหลวงปู่ พากันเอาความรู้ภายในหรือทางนิมิตมาถ่ายทอดปะปนให้คนเข้าใจว่าเป็นคำสอนของหลวงปู่จริง ๆ อีกหน่อยสำนักทรงต่าง ๆ ก็คงถ่ายทอดว่าหลวงปู่ดู่สอนว่าอย่างนั้น สอนว่าอย่างนี้ เหมือนกับที่ทำกับหลวงปู่ทวด หรือสมเด็จโตฯ
จากปฏิปทาหลวงปู่ซึ่งเป็นผู้มักน้อยสันโดษ รวมทั้งเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน วางตัวเป็นพระบ้านนอก เทศน์ไม่เป็น เป็นแต่ให้คติแง่คิดสั้น ๆ ภาพของหลวงปู่ที่เกิดจากโอวาทแปลกปลอมก็อาจจะกลายเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่หลงตัว อวดตัว พูดจาทำนองได้วางหลักธรรมและวิชชาพิสดารต่าง ๆ ขึ้นมากมาย สุดท้ายคนที่เสียประโยชน์ก็คือคนยุคหน้าที่ไม่ทันทั้งสังขารของหลวงปู่ และไม่ทันทั้งคำสอนที่บริสุทธิ์ของหลวงปู่
ดังนั้น หากเคารพรักหลวงปู่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ควรช่วยกันรักษาความบริสุทธิ์ในโอวาทของท่าน และในกรณีที่ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนหลวงปู่ด้วยตนเอง ก็อาจอาศัยความเข้าใจจากการศึกษาปฏิปทาและคำสอนของหลวงปู่จาก ”หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” ที่จะช่วยให้เราพอเห็นภาพรวมปฏิปทาและบุคลิกภาพของท่านตามสมควรในระดับที่พอจะวินิจฉัยได้ว่าคำสอนใดน่าจะใช่ คำสอนน่าจะไม่ใช่ เช่น
· คำสอนที่ขัดกับหลักการพึ่งตนเอง กล่าวคือมัวแต่พึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือมนต์วิเศษ เพราะตลอดชีวิตของท่าน ท่านมีแต่จะกระตุ้นให้ลูกศิษย์ไปทำงาน (ทำกรรมฐาน) ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ท่านพูดเสมอว่าท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทาง พวกเราต้องขวนขวายทำเอาเองจึงจะได้) จะโมทนาอย่างเดียว หรือเอาแต่สวดมนต์อ้อนวอนขอร้องไม่ได้
· คำสอนที่ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ กล่าวคือ ทำให้อยู่ยาก กินยาก ชิวิตที่เรียบง่ายหายไป กลายเป็นชีวิตที่ติดสุขหรือติดสิ่งอำนวยความสะดวก
· คำสอนที่พาให้หลงวนเวียนในเรื่องบุญหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือพลังงานลึกลับ กล่าวคือสอนให้หมกมุ่นอยู่แต่ในเรื่องทาน เรื่องศรัทธา หรือเรื่องปาฏิหาริย์จนไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่เป็นคุณค่าสูงสุดนั่นคือการปฏิบัติในหลักแห่งศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อจะให้มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
· คำสอนที่เน้นให้ยึดมั่นถือมั่นในตัวอาจารย์ กล่าวคือ ท่านจะไม่สอนให้เรายึดตัวบุคคลหรือยึดตัวครูอาจารย์ หากแต่ให้ยึดที่ธรรมะ ดังที่ท่านกล่าวว่า ธรรมที่ท่านให้ไว้น่ะ จงรักษาเท่าชีวิต เพราะจะเป็นที่พึ่งได้ในภายหน้า และท่านยังสอนว่าการจะไปสวรรค์นิพพาน เราต้องทำเอาเอง ท่านส่งใครไปไม่ได้ ท่านเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น
· คำสอนที่มุ่งหาทางลัดตรง กล่าวคือ มุ่งจะเอาธรรมะชั้นสูง โดยมองข้ามธรรมะพื้นฐาน คล้ายจะสร้างยอดเจดีย์โดยไม่สร้างฐานเจดีย์ให้แข็งแรงเสียก่อน หลวงปู่ทั้งสอนทั้งให้กำลังใจว่า “เบื้องต้นก็จะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น” และ “หมั่นทำเข้าไว้ ๆ” เราจะมัวพูดถึงหรือจินตนาการในสมบัติหรือผลการปฏิบัติของครูอาจารย์ โดยที่เมื่อล้วงเข้าไปในกระเป๋าเราแล้ว กลับพบว่าแทบไม่มีเงิน (ศีล สมาธิ และปัญญา) ติดกระเป๋าเลยนั้น ถือว่าตั้งอยู่ในความประมาทมาก
· คำสอนที่ทำให้ตั้งอยู่ในความประมาทและเพื่อความเนิ่นช้า เช่น พาให้หลงหมกมุ่นอยู่กับเครื่องเล่นต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลพลอยได้ทางสมาธิหรือแม้กระทั่งวัตถุมงคลต่าง ๆ จนแทบไม่เหลือเวลาให้กับการภาวนาละกิเลส รวมไปถึงคำสอนที่ทำให้หลงสำคัญตนว่าเป็นผู้สั่งสมบุญบารมีมาแต่เก่าก่อน ชาตินี้ทำพอเป็นนิสัยปัจจัยเพื่อรอจะไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอาริย์ทีเดียว ซึ่งเป็นทัศนะที่น่ากลัวที่สุด ซึ่งผู้ที่ทันหลวงปู่จะรู้ดีว่า หลวงปู่ห่วงลูกศิษย์ของท่านขนาดไหน แม้ขยันภาวนาอยู่กับท่านทุกวัน ท่านก็ยังไม่รับรองว่าจะพ้นนรกหรืออบายภูมิเลย คำสอนของท่านมีจุดหมายปลายทางที่การเตรียมตัวตายเพื่อให้สามารถตายอย่างผู้มีชัย ด้วยการขวนขวายสร้างภูมิสมาธิและปัญญาให้พอตัว หรือปฏิบัติให้ถึงหนึ่งในสี่ (อริยบุคคลเบื้องต้น) อันเป็นเป้าหมายที่ท่านให้ลูกศิษย์ทุกคนยึดหลักนี้ไว้ให้ชัดเจน เพื่อความเที่ยงแท้แน่นอนว่าจะไม่ลงอบาย โดยท่านไม่เคยสอนใครเลยว่า ปฏิบัติพอเป็นนิสัยปัจจัย เพื่อจะไปบรรลุธรรมในยุคพระศรีอาริย์ มีแต่สอนให้ปฏิบัติให้เต็มที่ หากไม่ได้ไม่ถึง อย่างน้อยสิ่งที่สั่งสมไว้ดีแล้วนี้จะช่วยให้เราได้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์ มิใช่มัวประมาทกินบุญเก่าอยู่
หมายเหตุ โดยปรกติ หลวงปู่จะเรียกตัวเองว่า “ข้า” และเรียกคู่สนทนาว่า “แก” ไม่ใช่ “มึง” อย่างที่ปรากฏเผยแพร่ในบางแห่ง |