ก่อนจะตอบเรื่องการสวดมนต์ เราควรต้องเข้าใจเสียก่อนว่าหลวงปู่มิได้ให้น้ำหนักกับการสวดมนต์ยิ่งไปกว่าการนั่งสมาธิภาวนา ท่านเคยเตือนลูกศิษย์ผู้ที่ชอบสวดมนต์แต่ขี้เกียจนั่งภาวนาว่าให้กลับเวลากัน ที่เคยสวดมนต์ ๑ ชั่วโมง แต่นั่งสมาธิแค่ ๑๐ นาที ก็ให้ลดเวลาสวดมนต์ลงเหลือ ๑๐ นาที แล้วเพิ่มเวลานั่งสมาธิเป็น ๑ ชั่วโมงแทน
หลวงปู่เคยสอนว่า
"ที่ข้าสอนให้สวดมนต์ ข้าให้ (นั่ง) ภาวนาด้วย สวดมนต์ตามแบบพระพุทธเจ้า มีอยู่แล้ว เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน
สวดมนต์อย่างเดียวไปช้า ข้าว่าอย่างนี้ แกจะว่ายังไง"
นอกจากนี้หลวงปู่ก็ยังเคยพูดสำทับว่า "สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน" จึงชัดเจนมากว่าหลวงปู่ให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่า
ทีนี้วกมาเรื่องเนื้อหาบทสวดมนต์ บทสวดมนต์ที่หลวงปู่ยกย่องมากก็คือบทสวดหรือปริตต์ต่าง ๆ ในหมวดที่เรียกว่า "เจ็ดตำนาน" และ "สิบสองตำนาน" ซึ่งก็คือบทสวดมนต์พิเศษที่อยู่ในหนังสือบทสวดมนต์แปล หรือมนต์พิธี นั่นเอง เพราะล้วนแล้วแต่เป็นบทที่คัดออกมาจากพระไตรปิฎก มีเนื้อหาเป็นอรรถเป็นธรรม มิใช่คาถาอย่างลัทธิมนตรยาน ที่ถือทางขลัง และกำหนดว่าต้องสวดเท่านั้นเท่านี้จบ อีกทั้งมีการเชิญชวนด้วยการพรรณาถึงอานิสงส์ของการสวดไว้เกินเลยอย่างมาก จนผู้ศรัทธาเสียหลักการของการปฏิบัติขัดเกลาตนเอง เพราะหวังอานิสงส์จากการสวดเพียงอย่างเดียว
พูดวกเข้าประเด็นเข้ามาอีกถึงเรื่องบทสวดมนต์ที่เดี๋ยวนี้บางแห่งนิยมเรียกว่า "บทจักรพรรดิ" ที่ขึ้นต้นว่า "นะโมพุทธายะฯ" นั้น เท่าที่สัมผัสเองโดยตรง รวมทั้งได้สอบถามหมู่คณะหลาย ๆ คนที่ปฏิบัติกับหลวงปู่ร่วมกันมาหลายปี ก็ไม่เห็นมีใครรู้จักชื่อเรียกอันนี้ ทุกคนต่างรู้จักบทสวด นะโมพุทธายะฯ ในชื่อ "บทบูชาพระ" ของหลวงปู่ดู่ จึงไม่รู้ว่าชื่อนี้มีมาแต่ที่ไหน พิจารณาจากเนื้อหาบทสวด ก็ไม่เห็นมีตรงไหนที่กล่าวถึงพระจักรพรรดิอะไร เห็นมีแต่พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ รวมทั้งพระสีวลี เป็นต้น จึงไม่ทราบเจตนาว่าเปลี่ยนชื่อเรียกไปทำไม เพราะดูเป็นการดึงธรรมไปหาโลก จากพระไปหาฆราวาสวิสัย
พระพุทธเจ้าเคยตรัสเล่าถึงอดีตชาติที่เคยเกิดเป็นกษัตริย์ชั้นจักรพรรดิ พร้อมด้วยของวิเศษประจำองค์ท่าน ทำให้ท่านสามารถขยายเขตการปกครองไปทั้งทวีปโดยทุกแว่นแคว้นต่างยอมสยบต่อพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังไม่พอ ใช้ของวิเศษไปขอส่วนแบ่งสวรรค์ชั้นจาตุมฯ ซึ่งท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนั้นก็ยินยอมยกให้พระองค์ครอบครองด้วยดี
แม้ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังไม่พอ ไปขอแบ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จากพระอินทร์มาครองอีก นานไปก็จะขอครอบครองเองทั้งหมดแต่ผู้เดียว และด้วยความโลภไม่รู้จักพอ ทำให้สวรรค์ไม่อาจรองรับจิตที่ไม่บริสุทธิ์ของพระองค์ได้ พระองค์จึงหล่นจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นยุคหลานเหลนของพระองค์ ไม่มีใครรู้จักพระองค์ ในขณะที่พระองค์ก็ชราภาพลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปลงอนิจจังว่าแม้มีสมบัติจักรพรรดิ แต่ด้วยความไม่รู้จักพอ พระองค์จึงตั้งอยู่ในความประมาท ใช้ชีวิตอย่างไม่เกิดสาระประโยชน์แก่ชีวิต สุดท้ายสมบัติจักรพรรดิก็ไม่พ้นความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา
มาในพระชาติสุดท้ายที่เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ยังพาพระอานนท์ไปเยี่ยมเมืองที่เดิมเคยเรียกว่ากุสาวดี พระองค์เล่าให้พระอานนท์ฟังว่า ณ เมืองที่ชื่อกุสาวดีนี้ เคยเป็นที่สวรรคตของพระองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นกษัตริย์ชั้นจักรพรรดิมาแล้วถึง ๗ ชาติ แต่มาบัดนี้ ของวิเศษและทรัพย์อันยิ่งใหญ่ในอดีตเหล่านั้นล้วนเลื่อมสิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือ...
นี่ขนาดพระพุทธเจ้ายังตรัสให้ปลงกับสมบัติจักรพรรดิ ดังนั้น การที่พยายามจะยกย่องเชิดชูพระจักรพรรดิหรือสิ่งที่เนื่องด้วยพระจักรพรรดิ จะมิเป็นการดึงธรรมลงมาเป็นเรื่องโลก ๆ หรือดึงลงมาเป็นเรื่องฆราวาสวิสัยดอกหรือ
อันที่จริงแล้วการสวดมนต์ถือเป็นข้อวัตรที่ดีและมีประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสวดที่หลวงปู่แนะนำ (เจ็ดตำนวนและสิบสองตำนาน) เพราะมีเนื้อหาที่ประกอบด้วยข้อธรรม รวมทั้งมีบทสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในแง่มุมต่าง ๆ มากมาย
ในแง่ของการปฏิบัติสมาธิภาวนา การสวดมนต์ก่อน ก็สามารถช่วยกล่อมเกลาหรือตะล่อมจิตผู้สวดให้เกิดความสงบระงับในระดับหนึ่งแล้ว พอลงมือนั่งสมาธิไม่นาน จิตก็ย่อมจะสงบได้โดยง่าย
ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเราต้องสวดด้วยสัมมาทิฏฐิ คือตระหนักว่าประโยชน์จากการสวดจะเกิดก็เพราะด้วยการน้อมพิจารณาในข้อธรรม หรือเจริญศรัทธาจากบทสรรเสริญพระรัตนตรัย หรืออย่างน้อยใช้เป็นเครื่องตะล่อมจิตหรือเตรียมจิตก่อนปฏิบัติกรรมฐาน มิใช่หวังในทางขลังหรือในทางปัดเป่าทุกข์ด้วยการกล่าวคาถาศักดิ์สิทธิ์อย่างลัทธิมนตรยานซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาเข้าสู่ยุคเสื่อมที่สุดก่อนจะสิ้นสูญจากอินเดียและถูกสังคายนาที่ประเทศพม่า
ถามนิดเดียว เลยถือเป็นโอกาสชี้แจงเพื่อคนส่วนใหญ่เสียทีเดียว เพราะเข้าใจว่าผู้ที่มาศรัทธาหลวงปู่หลายคนคงสงสัยเรื่องนี้เช่นกัน
ขอจบด้วยพุทธภาษิตที่ว่า "วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่" และ "ความดีที่ยิ่งกว่านี้ยังมีอยู่อีก มิใช่มีเพียงเท่านี้" |