หากเราศึกษาประวัติพระพุทธศาสนา เราจะพบข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า บรรดาผู้ที่ศึกษาพระอภิธรรมส่วนใหญ่ รวมทั้งพวกที่นิยมแสวงหาแนวทางการปฏิบัติที่จะเป็นทางลัดตรง (กว่าที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้) มีทัศนะเกลียดกลัวคำว่าสมาธิหรือสมถะมาก แม้มาในยุคนี้ ยุคที่หลวงปู่ดู่มีลูกศิษย์ที่มีการศึกษาสูง เป็นผู้อ่านมามาก ฟังมามาก ก็ได้มากราบเรียนถามหลวงปู่เช่นในอดีตเมื่อพันปีก่อนว่า ไม่อยากนั่งสมาธิเพราะกลัวติดสุข กลัวติดแสงสว่าง หลวงปู่อมยิ้ม เพราะท่านรู้จักกิเลสของคนเราเป็นอย่างดี ท่านจึงเมตตาสอนให้รู้ให้เข้าใจซึ่งพอสรุปสาระสำคัญได้ว่า สมาธิไม่ใช่สิ่งน่ากลัว แม้ตัวมันเองจะไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่เราก็จำเป็นต้องอาศัยมันเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง กาลเวลาผ่านไปหลายปี ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมจึงทำให้ได้เรียนรู้ว่า สมาธิช่วยให้การทำงานของปัญญาทำงานอย่างได้ผล สมาธิที่มาตามธรรมชาติและการฝึกเล็ก ๆ น้อย ๆ มันไม่เพียงพอ มิน่าเล่า พระพุทธองค์จึงให้อุบายและรายละเอียดต่าง ๆ สำหรับฝึกสมาธิตั้งมากมายถึงเพียงนี้ จิตที่ไม่มีสมาธิมันเป็นจิตที่หิวอารมณ์ จะดูจะพิจารณาอะไร ไม่ทันไรมันก็ตกสู่ความชอบความไม่ชอบ เป็นความลำเอียงในจิตใจทันทีที่ดูที่พิจารณา ก็เพราะมันไม่มีปีติ มันหิวอารมณ์ อยากกินอารมณ์ อยากกินสุขเวทนา อยากผลักไสทุกขเวทนา การจะดูจะพิจารณาอะไร ก็ต้องจับต้องตรึงอารมณ์มาไว้ต่อหน้าต่อตา (ตาใจ) มันจะเที่ยงหรือไม่เทียงอย่างไรก็ดูกันชัด ๆ ซึ่งหน้าที่การดึงการตรึงอารมณ์ให้ตาใจทำงานนี้ เป็นหน้าที่ของสติหรือสมาธิ ทีนี้มารังเกียจการดึง การตรึง การบังคับจิต ก็เลยหมดกัน มันจะฟุ้งไปกี่ทางก็ปล่อยมัน น้ำในเขื่อนมีพลังมากเพราะอะไร ก็เพราะน้ำจากหลายทางถูกบังคับให้มารวมเป็นสายเดียว มันจึงมีพลังมากและเอาไปทำประโยชน์ได้มากเช่นกัน เราปล่อยใจให้ไหลไปหลายทาง แล้วบอกว่าจะเอาไปทำประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล มันจึงมิขัดกันหรือ พอรังเกียจสมาธิหรือตัวเครื่องมือสำหรับเจริญปัญญาเสียแล้วมันก็จบกัน จิตกับกายแยกกันไม่ขาด จิตกับอารมณ์มันก็เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ จะให้ดูให้ชัดมันจึงยากมาก สมาธิเป็นเครื่องมือเครื่องอาศัยที่ต้องฝึกกันอย่างยิ่งยวด อาจพูดได้ว่าต้องฝึกกันเป็นชาติ ๆ ไม่ใช่เข้าคอร์สไม่กี่ชั่วโมงก็จะมาเป็นครูอาจารย์สอนกันได้แล้ว ในทางโลกเขาจำ ๆ กันมาสอนได้ แต่ในทางธรรมนั้น จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ตรงในการฝึกจิตของตนเองที่มิใช่แค่จำได้ว่าองค์ของสมาธิประกอบด้วยนั่นด้วยนี่ การปฏิเสธสมาธิก็เหมือนการจะเดินทางไกลโดยปฏิเสธที่จะขึ้นรถยนต์ หรือเครื่องบิน ในทางตรงข้าม การมุ่งสมาธิโดยไม่เอาไปเป็นฐานในการเจริญปัญญา มัวจมจ่อมอยู่ จนคล้ายได้ยากล่อมใจไปวัน ๆ ก็เสียโอกาสอีก กับดักในการปฏิบัตินั้นมีมาก จึงโชคดีที่หลวงปู่ท่านเมตตาเตือนเอาไว้ โดยเฉพาะคำว่า "เบื้องต้นจะขึ้นยอดตาล มีหวังตกลงมาตาย หรือแข้งขาหักเท่านั้น" ซึ่งไม่ผิดอะไรกับคนที่จะเอาแต่ยอดเจดีย์ ฐานเจดีย์ไม่เอา ...เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าพิจารณาไม่น้อย |