“อย่าไปอยู่ใกล้พระอรหันต์นาน” เป็นอีกหนึ่งคำเตือนที่หลวงปู่ดู่ท่านเมตตาตักเตือนศิษย์ของท่าน ซึ่งแน่นอนว่าใคร ๆ ฟังประโยคนี้แล้วมักจะรู้สึกขัด ๆ เพราะคนส่วนใหญ่มักเชื่อว่าอยู่ใกล้พระอรหันต์หรือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนาน ๆ ก็น่าจะยิ่งดีสิ จะได้ใกล้ชิดแหล่งบุญ ใกล้ชิดแหล่งธรรมะ ใครอยู่ใกล้ชิดท่านถือว่ามีบุญมาก อย่างนี้เป็นต้น แต่ความละเอียดรอบคอบของหลวงปู่ท่านมีมากกว่าเรามาก ท่านจึงมองเห็นจุดที่เรามองไม่เห็นหรือมองข้าม
เราลืมตระหนักว่าที่ ๆ เป็น “เนื้อนาบุญ” อันเยี่ยมก็ย่อมเป็น “เนื้อนาบาป” ไปพร้อมกันด้วย ดังที่พระพุทธองค์ตรัสรับรองว่าการล่วงเกินพระอริยเจ้านั้นเป็นกรรมหนัก ตัวอย่างเช่น นางขุชชุตตรา ที่อดีตชาติเคยเอ่ยปากให้พระภิกษุณีที่มาเยี่ยมที่บ้าน ส่งตระกร้า (เครื่องสำอาง) ให้ กรรมนี้ทำให้นางขุชชุตตราต้องเกิดเป็นชนชั้นทาสอยู่หลายภพชาติ ฯลฯ นี่กรรมที่ดูเล็กน้อย (ในสายตาของเรา ๆ) ยังส่งผลถึงเพียงนี้ ดังนั้น หลวงปู่ท่านจึงเมตตาปกป้องลูกศิษย์ท่านไม่ให้ได้บาป โดยให้มีความละเอียดลออในเรื่องเหล่านี้ ขนาดว่าการเอ่ยปากให้ครูบาอาจารย์หยิบซอง (เพื่อจะใส่ปัจจัยทำบุญ) หลวงปู่ก็ยังให้หลีกเลี่ยงเลย
หลวงปู่ท่านจึงสอนไม่ให้อยู่ใกล้พระอรหันต์นาน เพราะโดยธรรมชาติของจิตที่ขาดปัญญา หากมีโอกาสได้ใกล้ชิดครูบาอาจารย์นาน ๆ แล้ว ก็มักเกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าเราเป็นศิษย์ใกล้ชิดหรือศิษย์ก้นกุฏิ สามารถพูดหยอกล้อ พูดไหว้วานให้ท่านหยิบโน่นทำนี่ให้ หรือถึงขนาดหยิบฉวยของในกุฏิท่าน (ซึ่งถือเป็นของสงฆ์) ได้ตามอำเภอใจ
ในสมัยหลวงปู่มีชีวิต ก็เคยมีศิษย์ทำนองนี้ให้ได้เห็น ซึ่งบางครั้งนอกจากจะหยิบพระหรือวัตถุมงคลที่ท่านทำเอาไว้แจกกำนั่งสมาธิออกไปจากกุฏิโดยพละการแล้ว หนักเข้าก็หยิบแจกคนโน้นคนนี้ตามชอบใจ แล้วค่อยมาบอกกล่าวหลวงปู่ในภายหลัง (เข้าทำนองแจ้งเพื่อทราบ มิใช่กราบเรียนขออนุญาต) ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันมิให้คนใกล้ตัวท่านต้องสะสมบาปโดยไม่รู้ตัว หากหลวงปู่ท่านสอนได้ท่านก็จะสอน หากสอนไม่ได้เพราะการทำตัวเป็นชาล้นถ้วย ไม่ฟังคำตักเตือนของใคร ๆ หลวงปู่ท่านก็จำต้องเอ่ยปากให้ออกไปเสียจากวัดสะแก
คำว่า “อย่าไปอยู่ใกล้พระอรหันต์นาน” เป็นโอวาทที่หลวงปู่มอบให้เพื่อไม่ให้พวกเราขาดทุนกำไร ไปวัด ไปกราบ ไปสนทนากับครูบาอาจารย์ ก็ให้ได้บุญล้วน ๆ อย่าได้มีบาปกลับบ้านไปเลย น้อยหนึ่งก็อย่าให้มี
นอกจากนี้ ยังถือเป็นจุดที่เอาไปต่อยอดให้เรามีความละเอียดลออกับเรื่องอื่น ๆ ให้สมกับว่าเป็นบัณทิตย่อมฝึกตน คือฝึกกายวาจาจิตให้ละเอียดสุขุมประณีตยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้ตระหนักว่าสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ถ้าเป็นศิษย์ก็ทำตัวเป็นศิษย์ใหม่อยู่เสมอ ไม่ลามปามหรือตีตัวเสมอ
ถ้าเป็นพระก็ทำตัวเป็นพระนวกะ (พระบวชใหม่) อยู่เสมอ เพราะธรรมชาติของพระบวชใหม่มักมีความสำรวมระวัง กลัวจะผิดศีลข้อนั้นข้อนี้
ไม่ควรทำตัวแก่วัด แก่ครูบาอาจารย์ เพราะจะทำให้ขาดความสำรวมระวัง เอาครูบาอาจารย์เป็นเพื่อนเล่น กล้าพูดสวนและวานใช้ครูบาอาจารย์ หรือหยิบฉวยของ ๆ ท่านไปโดยพละการ
พูดเล่าถึงตรงนี้ ก็อดชื่นชมน้องใหม่ ๆ ที่มาศรัทธาและปฏิบัติธรรมที่วัดสะแกไม่ได้ หลายคนตั้งใจภาวนาที่บ้านตอนเช้ามืดทุกวัน บ้างตีสอง บ้างตีสี่ ทำเป็นกิจวัตรจนตลอดพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็ยังไม่เลิก เพราะติดเป็นนิสัยแล้ว รวมทั้งมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้และเห็นชัดขึ้นว่าจิตสงบเป็นอย่างไร จิตฟุ้งเป็นอย่างไร จิตมีกำลังเป็นอย่างไร จิตขาดกำลังเป็นอย่างไร จิตเกิดธรรมสังเวชเป็นอย่างไร จิตเพลิดเพลินในอารมณ์เป็นอย่างไร ฯลฯ เมื่อมีดีในตัวแล้วก็ยังอุตส่าห์ปิดไว้ ไม่เปิดอวดใคร ๆ วางตัวอย่างที่หลวงปู่สอนว่าอย่าเที่ยวเปิดฝาหม้อแกง ไม่อย่างนั้นแกงจะไม่หอม
เมื่อเห็นความเพียรและพัฒนาการหรือความก้าวหน้าในธรรมของน้อง ๆ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในรูปความเพียรที่สม่ำเสมอ (ขี้เกียจก็ทำ ขยันก็ทำ) การมีหลักคิดที่สอดคล้องกับธรรม มีวินิจฉัยได้ว่าอะไรใช่ทางหรือไม่ใช่ทาง ไม่หยุดอยู่เพียงเรื่องวัตถุมงคลหรือการรู้การเห็นนิมิตต่าง ๆ ที่สำคัญ ไม่ยึดติดตัวบุคคลหรือครูบาอาจารย์จนมองข้ามคุณธรรมของครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ
พูดไปแล้วก็ให้รู้สึกอายน้อง ๆ ว่าถึงแม้พี่จะทันหลวงปู่หรือเข้าวัดก่อนน้อง ๆ ก็มิได้แปลว่ากิเลสในใจพี่จะน้อยกว่าน้อง ๆ
เพราะการได้อยู่ใกล้ชิดสังขารของหลวงปู่ก็มิได้แปลว่าคุณธรรมของพี่จะสูงกว่าคนห่างไกลสังขารของหลวงปู่อย่างน้อง ๆ คนหนึ่งกินบุญเก่า คนหนึ่งเอาความเพียรเป็นตัวตั้ง ผ่านไปนานวันเข้า ใครจะได้หลักได้เกณฑ์ก็คงพอจะคาดได้
พี่ ๆ ที่เว็บนี้ก็ได้แต่หวังว่าอานิสงส์ที่มาถ่ายทอดเรื่องราวหลวงปู่ จะเป็นการแปลงสัญญา (ความจำ) ของพวกเรา ไปเป็นปัญญา (ความจริง) เพราะเหตุแห่งการน้อมนำไปปฏิบัติจนเกิดผลในใจตนเอง และเมื่อได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ก็คงจะได้ย้อนกลับมาเป็นกัลยาณมิตรแก่พี่ ๆ หรืออย่างน้อยเป็นพลังใจแก่พี่ ๆ ให้ไม่ประมาท เพราะจะตามน้อง ๆ ไม่ทัน จะเสียทีที่พบหลวงปู่ก่อน
^-^
ดังนั้น การเข้าวัดก่อนหลังจึงไม่สำคัญเท่าชั่วโมงบินของความอุตสาหะฝึกหัดดัดกายวาจาจิตของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติตามคำสอนของหลวงปู่ให้เกิดสาระประโยชน์จนได้ธรรมเป็นที่พึ่งแก่ตนเองบ้างตามสมควร รวมทั้งการวางตัวอย่างผู้ใหม่ ผู้มีความนอบน้อมและสำรวมระวังอยู่เสมอ ใครถามว่าเป็นศิษย์หลวงปู่ดู่หรือไม่ ก็ควรพากันตอบว่า
“ผม/ดิฉันเป็นเพียงผู้มีศรัทธาในองค์หลวงปู่ แต่อย่าเพิ่งนับว่าเป็นศิษย์เลย เพราะยังมีความประพฤติหลาย ๆ อย่างที่ต้องขัดเกลาอีกเยอะ หากบอกว่าเป็นศิษย์ เดี๋ยวจะเสื่อมเสียถึงครูบาอาจารย์ได้”
การฝึกตนให้เป็นผู้มีความผู้อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะต่อธรรมและต่อครูบาอาจารย์อย่างเสมอต้นเสมอปลายตามโอวาทหลวงปู่ที่ว่า “อย่าไปอยู่ใกล้พระอรหันต์นาน” จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการอบรมกายวาจาจิตของเราให้มีความสำรวมระวัง ไม่ให้เกิดความลำพองตน เพื่อมุ่งขัดเกลาตนเองเรื่อยไป |