รอยธรรม คำย้ำเตือน (ตอนที่ ๒)
หลวงปู่สอนตามพระพุทธเจ้าที่มุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติได้ลิ้มรสธรรม มิใช่พอใจหรือสำคัญผิดติดอยู่เพียง “ความรู้จำ” ที่ยังมิใช่ “ความจริง” ดังที่พระพุทธองค์ทรงอุปมาผู้ที่สามารถจำพระพุทธพจน์ไว้อย่างแม่นยำ แต่ยังขาดการลงมือปฏิบัติให้เกิดผลขึ้นที่ใจว่าเป็นเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคที่มิอาจดื่มกินน้ำนมโคที่ตนเลี้ยง ตรงกันข้ามกับคนที่แม้จะไม่สามารถจำพระพุทธพจน์ได้สักเท่าใด แต่อาศัยว่าได้ศึกษาแนวทางที่ถูกตรงมาพอประมาณ แล้วลงมือปฏิบัติธรรมจนเกิดผลขึ้นที่ใจตนเอง พระพุทธเจ้าเรียกผู้นั้นว่า เป็นดุจเจ้าของโคผู้ซึ่งมีสิทธิ์จะดื่มน้ำนมโคของตนได้ตลอดเวลา เรียกว่าได้สำเร็จผลอันพึงปรารถนา
พระพุทธวจนะ แท้จริงแล้วก็คือผลแห่งการปฏิบัติหรือที่เรียกว่า ปฏิเวธ เมื่อพระพุทธองค์ทรงนำปฏิเวธซึ่งเป็นธรรมสมบัติที่เกิดขึ้นที่พระองค์มาจำแนกและบอกสอน ก็กลายเป็นปริยัติที่รอการปฏิบัติตามเพื่อให้เกิดธรรมสมบัติของนักปฏิบัติแต่ละคน ๆ ทั้งนี้ นอกจากคำพระพุทธวจนะแท้ ๆ แล้ว ก็ยังมีสาวกภาษิต (คำครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ) ก็เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาพิจารณาและปฏิบัติตามเช่นกัน ดังเช่น การอธิบายธรรมของพระปุณณะเถระ (หลานชายของพระอัญญาโกณทัญญะ) กระทั่งทำให้พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งถ้าแม้พระอานนท์จะเป็นผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธองค์โดยตรงเสมอ ๆ แต่พระอานนท์ก็ไม่อายที่จะประกาศให้ใคร ๆ ทราบว่า พระปุณณะเถระ คืออาจารย์ผู้มีอุปการะมากของพระอานนท์ ทำให้เห็นว่าคำครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แม้จะมีพยัญชนะที่ต่างจากพระพุทธวจนะ แต่ก็มีอรรถะที่เป็นธรรมอย่างเดียวกับพระพุทธวจนะนั่นเอง
อย่างไรก็ดี หากพบว่าคำสอนใดไม่ตรงกับพุทธวจนะ ก็ยังไม่ควรด่วนสรุปว่าคำสอนนั้นถูกหรือผิด หากแต่ให้ไปพิจารณาเทียบเคียงกับหลักที่พระพุทธองค์ให้ไว้นั่นก็คือ “ ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย ๘ ประการ” เช่น คำสอนที่ถูกต้องที่สมควรเรียกว่าเป็นธรรมะของพระพุทธองค์นั้น ต้องเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด เพื่อการไม่สะสมกองกิเลส เพื่อความไม่คลุกคลี และเพื่อความสันโดษ เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักธรรมที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ประมวลกำดักที่เรียนรู้จากการอบรมสั่งสอนของลวงปู่ ได้แก่
- ติดดี (ซึ่งนับว่าแก้ยากกว่าติดชั่ว เพราะมองเห็นได้ยากกว่า) ซึ่งบางครั้งอาจทำให้คนวัดน่ากลัวกว่าคนห่างวัด
- ปฏิบัติจนเลยครูอาจารย์ เลยพระพุทธเจ้า มุ่งหาทางลัด หรือปฏิบัติไม่ครบองค์ธรรม คือเลือกเอาแต่เฉพาะข้อที่ชอบใจ ข้อที่ลำบากไม่เอาเพราะติดความสบาย จนละเลยการฝึกฝืนกิเลส ซึ่งเป็นภาคสนามของการปฏิบัติ
- พอใจหรือหยุดอยู่เพียงแค่ความรู้ที่จำมาจากตำราหรือคำครูบาอาจารย์ เลยไม่ก้าวเข้าสู่ภาคปฏิบัติดัดกายวาจาจิต เพื่อให้ได้ลิ้มรสพระธรรมที่ใจตนเอง ดังที่เรียกว่า “ความรู้จริง”
- หลงยึดแนวทางที่ตนชอบว่าเป็นหนทางสายเอกสายเดียว มีทัศนะว่าหนทางอื่นเป็นทางอ้อม หรือผิดทาง บางครั้งอาจถึงขั้นปรามาสครูอาจารย์ท่านอื่นก็มี
- หลงยึดติดเป็นเจ้าข้าวเจ้าของครูบาอาจารย์ หรือยึดหลงกับคำว่า “ศิษย์ก้นกุฏฺ” เพิ่มอัตตาตัวตนให้มากเข้า แทนที่จะปฏิบัติเพื่อความไม่เป็นอะไร
- ยึดติดว่า “ตนไม่ยึดติด”
- ฯลฯ
อุบายที่จะช่วยให้ก้าวข้ามกับดักต่าง ๆ ไปได้ ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
- ยึดหลักไว้ว่า “ปฏิบัติเพื่อละ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อเอา เพื่อได้ หรือเพื่อเป็นอะไรทั้งนั้น”
- ยึดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก หากคำสอนใดแม้เป็นของครูอาจารย์ที่เรานับถือขัดกับคำสอนของพระพุทธองค์ ก็ต้องยึดคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธโอวาทในเรื่อง “ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ”
- ไม่ตีตัวเสมอครูอาจารย์ รักษาความเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เนืองนิตย์ และหมั่นเข้าหากัลยณมิตรผู้มีปฏิปทาปรกติในทางห่างจากโกรธ โลภ หลง
- ปฏิบัติธรรมด้วยใจที่เคารพเอื้อเฟื้อ คือให้ความเคารพยำเกรงในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ทำตัวแก่วัด แก่ครูบาอาจารย์ ดำรงตนเป็นผู้ใหม่ที่ต้องคอยนอบน้อมและระมัดระวังและสำรวมตนอยู่เสมอ
|