....เราทุกคนควรพิจารณาให้รู้ว่า อันวันคืนเดือนปีที่หมดไปนั้น
แท้จริงอายุหรือชีวิตของคนเราทุกคนก็ได้หมดตามไปด้วย
และผลที่สุดเราทุกคนก็จะต้องตายด้วยกันทุกคน
ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาท
ถ้าหากมีบุคคลใดตายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือเพื่อนก็ตาม
ตามธรรมเนียมประเพณีก็มักจะนิมนต์พระมาสวด ทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย
ไปเผาหรือไม่ก็ไปฝัง แต่เราทุกคนที่ไปร่วมงานก็มิได้นำมาพิจารณาสอนใจตัวเอง
ให้รู้สึกตัวเสียทีว่าที่เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้นั้น
แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันตายต่างหาก
ไม่ใช่รอความสุขต่าง ๆ ตามที่คนเราทั่วไปเข้าใจกัน
อันความตายเมื่อมาถึงแก่บุคคลผู้ใดแล้ว
บุคคลผู้นั้นก็จะไม่มีโอกาสสั่งหรือบอกลาแก่ผู้ใดด้วย
เพราะความตายไม่มีป้ายบอกว่าจะมาถึงแก่บุคคลเมื่อใด
ความตายมีโอกาสเกิดขึ้นแก่บุคคลเราได้ตลอดเวลา
ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ ความตายที่เกิดจากอุบัติเหตุทันทีทันใดยิ่งมีมากขึ้นทุกวัน
เช่น คนที่ตายจากเครื่องบินตก คนที่ตายจากเรืออับปาง
หรือคนที่ตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นต้น
นี่แหละวันคืนเดือนปีที่ผ่าน ๆ ไปนั้น
ชีวิตของคนเราทุกคนมันก็หมดไป สิ้นไปด้วยเช่นกัน
เราทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อย่าได้เข้าใจว่าเราจะสุขสบายมีอายุยืนยาว
แต่แท้ที่จริงแล้ว เราทุกคนอาจตายได้ทุกเวลา
แล้วจะมาคิดเอาเองว่าเรายังไม่ใกล้ตาย จึงเป็นการคิดที่ประมาทอยู่
เราทุกคนยืนอยู่ ก็ยืนรอวันตาย
เราทุกคนเดินอยู่ ก็เดินรอวันตาย
เราทุกคนนอนอยู่ ก็นอนรอวันตาย
ผลที่สุดเราทุกคนก็ต้องตายแน่นอน
นี่แหละเราทุกคนอย่าได้เป็นผู้ประมาทอีกต่อไป
จงเตือนตนให้รีบเร่งปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิภาวนา
ให้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วอายุหรือชีวิตของคนเรามันหมดสิ้นไป
อันเรื่องความตายนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้เปรียบไว้ว่า
อุปมาเหมือนไฟป่าที่ไหม้ลามมาจากทิศทั้ง ๔
ถ้าสัตว์ตัวใดที่หนีไม่ทันก็ต้องถูกไฟคลอกตายก่อน
และในที่สุดสัตว์ทุกตัวก็ต้องถูกไฟคลอกตายตามลำดับ จนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้เราทุกคนจึงควรรีบเร่งปฏิบัติภาวนา
จนมองเห็นภัยอันตรายมีอยู่รอบด้าน
ที่เราทุกคนอยู่มาทุกวันนี้ ความจริงแล้วมิใช่เราสุขสบายดีนะ
ถ้าหากเราได้ภาวนา พิจารณาดูแล้วเห็นตามความจริงว่า
ความตายของคนเรานั้น มันเคลื่อนใกล้เข้ามาหาทุกคนอยู่ทุกขณะ
ดังนั้นการที่เราจะมาพอใจกับความสบายเล็กน้อย จึงเป็นการที่ไม่ถูกต้อง
ถ้าหากความเจ็บไข้เป็นโรค มาถึงแก่คนใดเมื่อใด
ก็มักจะทำให้คนเราที่ป่วยนั้น จิตใจเกิดความท้อแท้ อ่อนแอ บ่น ร้องไห้
และเมื่อโรคดังกล่าวเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยนั้นมักจะต้องถูกนำไปรักษาที่โรงพยาบาล
อันโรงพยาบาลนั้น คนเราทั่วไปก็มักจะเข้าใจว่า
เมื่อเจ็บป่วยแล้วเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาล โรคดังกล่าวก็จะหาย
แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะถ้าหากถึงเวลาที่จะต้องตายแล้ว
โรงพยาบาลก็ช่วยแก้ไขอะไรไมได้
เพราะแม้แต่ตัวของหมอหรือแพทย์ที่รักษาเอง ก็ยังจะต้องตายด้วยเช่นกัน
นี่แหละคนเราที่เจ็บป่วย แทนที่จะไปหายที่โรงพยาบาล
แต่ต้องกลับไปตายอยู่ที่โรงพยาบาลก็มีมาก
ดังนั้นคนเราทุกคนจงมาปฏิบัติภาวนา มานึกถึงความตาย
เพื่อที่จะได้เตือนจิตของเราอย่าได้ประมาท
การที่เราต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย ก็เพราะตัวจิตของเรายังไม่รู้แจ้งนั่นเอง
ดังนั้นคนเราทุกคนต้องมาปฏิบัติภาวนา
เพื่อให้จิตของเราเกิดความรู้แจ้งขึ้นมาในจิตของเราเอง
ฉะนั้นธรรมเทศนาที่กล่าวมานี้
ขอให้เราทุกคนมองให้เห็นความจริงที่ว่าอายุหรือชีวิตของคนเรา มันหมดสิ้นไปตามวันคืนเดือนปี