
วันนี้ขอเล่าถึงพระดีในต่างแดนให้ได้รับทราบกัน
พระดีรูปนี้คือพระอาจารย์เจฟฟรี ฐานิสฺสโร พระภิกษุชาวอเมริกันที่มาบวชและปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านพ่อเฟื่อง โชติโก ศิษย์องค์สำคัญท่านหนึ่งของท่านพ่อลี วัดอโศการาม
ท่านเจฟฟรี่ได้มีโอกาสศึกษาและปฏิบัติกรรมฐานกับท่านพ่อเฟื่อง ณ วัดธรรมสถิตย์ จ.ระยอง เป็นเวลาราว ๙ ปี (ปลายปี ๒๕๑๙ ถึงปี ๒๕๒๙) เมื่อท่านพ่อเฟื่องมรณภาพลง ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสสืบมา
ในราวปี พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่สุวัจน์ได้รับถวายที่ดินบนเขา (เมืองซานดิเอโก USA) จากพุทธศาสนิกชนชาวอเมริกันท่านหนึ่ง ซึ่งพื้นที่ที่รับถวายมีมากถึง ๑๕๐ ไร่ ซึ่งอยู่ท่ามกลางป่าสงวนที่เคยเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวอินเดียนแดง (มูลค่าที่ดินในเวลานั้นก็เกือบ ๒๐ ล้านบาท) ต่อมาจัดตั้งเป็นวัดชื่อวัดเมตตาวนาราม หลวงปู่สุวัจน์ (ศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ฝั้นที่เป็นพระธรรมทูตที่เป็นหลักในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอเมริกาในยุคนั้น) จึงได้ทาบทามท่านเจฟฟรี่ให้ไปเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็พิจารณารับ
หากดูโดยรวมถึงวัดไทยในอเมริกา มีหลายวัดที่ปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสนองความต้องการของญาติโยมทางนั้น เช่น ดึงโรงเรียน ดึงกิจกรรมสังคม ฯลฯ เข้ามาในวัด รวมทั้งอนุโลมในเรื่องการแต่งกาย การให้โยมผู้หญิงขับรถให้ การรับและเก็บปัจจัยโดยตรง ฯลฯ แต่ท่านเจฟฟรี่กลับยึดในข้อวินัยตามอย่างที่ครูอาจารย์ของท่านคือท่านพ่อเฟื่อง และหลวงปู่สุวัจน์ วางไว้อย่างเคร่งครัด เพราะท่านตระหนักดีว่ากิจกรรมสังคมถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ควรให้หน่วยงานทางโลกเขาดำเนินการจะเหมาะกว่า เพราะหากพระเข้าไปดำเนินการแล้วก็มักเขวออกนอกทาง เสียทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นในด้านที่สูงกว่าสุขทุกข์ทางโลก ๆ นอกจากนี้ก็มีตัวอย่างมากมายที่พระต้องมาสึกเพราะมัววุ่นกับกิจกรรมทางโลกเหล่านี้
พระอาจารย์เจฟฟรี่เป็นผู้มีคุณสมบัติพร้อมของการเป็นพระธรรมทูตที่ดี เพราะนอกจากความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยแล้ว ด้วยความปราดเปรื่องจึงทำให้ท่านสามารถทำประโยชน์ได้อย่างมากมาย เช่น การแปลพระวินัยเป็นฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งได้รับการอ้างอิงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ รวมไปถึงการแปลธรรมของครูบาอาจารย์ในเมืองไทยเป็นภาษาอังกฤษ เช่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อชา ท่านพ่อเฟื่อง ท่านพ่อลี และ ท่าน ก. เขาสวนหลวง เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุด แม้ท่านจะอยู่ห่างไกลครูอาจารย์กรรมฐานในเมืองไทย แต่ท่านก็ยังคงรักษาข้อวัตรปฏิบัติไว้โดยเคร่งครัด รวมไปถึงการรับปัจจัย เช่น เวลาที่ท่านรับนิมนต์ไปเทศน์ที่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ท่านจะไม่รับปัจจัย (ระยะหลัง มหาวิทยาลัยจึงค่อยเรียนรู้เองว่า หากต้องการถวายปัจจัย ก็อาจทำได้ แต่มิใช่ส่งปัจจัยให้ท่านโดยตรง หากแต่ส่งเช็คให้วัดตามมาภายหลังได้)
ท่านยึดคำแนะนำของหลวงปู่สุวัจน์ที่ว่า ในการเผยแผ่นั้น หากไม่ได้คนก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้เราคนเดียวก็ยังดี ให้ได้เป็นพยานหลักฐานว่าผู้ปฏิบัติจริงย่อมได้รับผลจริง ท่านเจฟฟรีท่านถือคติว่า หากวัดยอมอนุโลมตามโลกก็เท่ากับว่าตัดรากของตนเอง
ทุกวันนี้ ฝรั่งที่ต้องการบวชที่วัดเมตตาฯ จะต้องมาเป็นผ้าขาวเพื่อดูความพร้อมก่อนบวช ๑ ปี เช่นเดียวกับวัดป่านานาชาติ ในเมืองไทย
เมื่อต้นปี ๒๕๓๓ นี้ ท่านเจฟฟรี่ได้เดินทางมาเมืองไทยเพื่อสอบเป็นพระอุปัชฌาย์ เพื่อว่าท่านจะได้สามารถจัดอุปสมบทได้เอง ไม่ต้องนิมนต์พระอุปัชฌาย์จากที่อื่น เพื่อให้การเผยแผ่เป็นไปอย่างมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ผลปรากฏว่าในจำนวนเจ้าอาวาสที่มาสอบเป็นอุปัชฌาย์กว่า ๓๐๐ รูป ท่านเจฟฟรี่สอบได้เป็นลำดับที่ ๒ ซึ่งแสดงถึงความสามารถทางด้านภาษาบาลี และข้อธรรมข้อวินัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดพระเถระที่ดูแลการสอบเอ่ยปากชื่นชมความสามารถของท่านเจฟฟรี่
ท่านเจฟฟรี่ท่านเดินทางกลับมาเมืองไทย ได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนทำให้ท่านปรารภว่าได้เห็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงหลายเรื่อง ท่านว่า ตอนนี้อะไร ๆ ก็เป็นสินค้าไปหมด ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ถูกทำให้เป็นสินค้าไปแล้ว มีการเอามาดัดแปลง เอามาขาย เอามาโฆษณากัน เนื้อแท้ก็จะค่อย ๆ หายไป
ส่วนคติธรรมของท่านพ่อเฟื่องที่ท่านนำมาสอนลูกศิษย์บ่อย ๆ ก็คือ "หากยังไม่เห็นความโง่ของตนเอง ก็แสดงว่ายังภาวนาไม่เป็น ปัญญายังไม่เกิด"
และ "ทำอย่างไรคนเราจะสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมภายนอก"
เล่าไว้พอสังเขป หวังว่าจะเกิดประโยชน์ตามสมควรครับ |