หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน
คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป
(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)
|
|
Started by |
|
|
Topic: ไม่พอดี (Read: 22951 times - Reply: 7 comments) |
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ไม่พอดี
|
« Thread Started on 31/1/2555 21:28:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
|
|
ขณะนี้ดูเหมือนเพื่อน ๆ สมาชิกส่วนใหญ่จะเห็นตรงกันในแง่โทษของการหลงนิมิตหรืออภิญญาต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ลุงสิทธิ์ก็เริ่มเห็นสิ่งที่เกินพอดีหรือไม่พอดีเริ่มเกิดขึ้น
ลุงสิทธิ์จึงขอเล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้ฟังกันไว้เป็นอุทาหรณ์ กล่าวคือในสมัยที่หลวงปู่ยังมีชีวิต พวกเราเหล่านักศึกษาผู้อ่านและศึกษาตำรับตำรามามากได้เคยเผลอตัวถึงขนาดไปจับผิดหลวงปู่ ในตอนที่ท่านสอนว่าปฏิบัติแล้วต้องให้สว่าง พวกเรานึกตรงกันว่าก็แสงสว่างเป็นหนึ่งในอุปกิเลส แล้วทำไมหลวงปู่สอนให้เราไปหลงติดกิเลสล่ะ
หากเราพิจารณาให้ดี อุปกิเลสทั้ง ๑๐ ตัว มีแสงสว่าง ญาณ ปีติ และสุข เป็นต้น นั้นล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น มิใช่ของไม่ดี นิมิตหรือแสงสว่างไม่ใช่กิเลส แต่ความหลงในนิมิตหรือแสงสว่างต่างหากที่เป็นกิเลส
ลุงสิทธิ์เองก็เคยถามหลวงปู่ว่า
"หลวงพ่อครับ ปฏิบัติให้สงบเฉย ๆ ไม่ได้หรือครับ ทำไมต้องให้สว่างด้วยครับ"
หลวงปู่ตอบว่า
"แกว่าแกเดินไปในทางมืด ๆ ดี หรือสว่าง ๆ ดี ...ถ้าแกต้องเดินในที่มืด ๆ แกมีไฟฉายไว้สักกระบอกจะดีไหม"
ลุงสิทธิ์ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนัก กระทั่งมีประสบการณ์การปฏิบัติมากเข้า ๆ จึงพอเข้าใจสิ่งที่หลวงปู่สอน
ท่าทีที่เหมาะควรต่อนิมิตหรือแสงสว่างก็คือ ให้ระวังอย่าไปหลงในนิมิตหรือแสงสว่าง แต่ก็มิได้แปลว่าให้ไปรังเกียจหรือปฏิเสธนิมิต เพราะนิมิตหรือแสงสว่างสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติหรือการก้าวเดินทางธรรมให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปได้
เราต้องยอมรับว่าสิ่งที่สั่งสมมาในแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน บางคนปฏิบัติแล้วมีนิมิตมาก บางคนน้อย บางคนไม่มีเลย
|
|
|
|
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: ไม่พอดี
แสดงความคิดเห็น |
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ความคิดเห็นที่ 1 « on 1/2/2555 7:28:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
เคยได้นั่งสนทนากับคุณเมธาถึงเรื่องการเห็นที่หลวงปู่สอนว่าเราได้ยินมาตรงกันอย่างไร โดยสรุป การเห็นที่ถือว่าสำคัญที่สุด (ถือเป็น must) นั่นก็คือการเห็นโกรธ โลภ หลง ในใจ เพราะถ้าไม่เห็นกิเลสก็ไม่รู้จะไปชำระอะไรที่ไหน
ส่วนการเห็นนิมิตนี้ มีหลักอยู่ว่าให้รับทราบ (อย่าเพิ่งเชื่อหรือปฏิเสธ) ถ้าเป็นประโยชน์ต่อการเจริญศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็น้อมจิตยินดีได้ พอพูดมาถึงตรงนี้ทุกคนอาจจะ "เอ๊ะ" ว่าไหนให้วางใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้ายไง
คำตอบ ก็คือ เรากำลังสับสนกับคำสอนสำหรับระดับหรือขั้นการปฏิบัติที่ต่างกัน เรื่องนี้ลุงสิทธิ์เคยสับสนมาเมื่อหลายปีก่อน
ในภาคปฏิบัติ ขั้นต้นนั้นเราต้องการแรงส่ง ก็เหมือนการขึ้นกระสวยอวกาศ เราต้องมีแรงส่งให้เพียงพอจนกว่าจะพ้นจากแรงดึงดูดของโลก แรงส่งในความหมายของการปฏิบัติจิตภาวนาก็คือฉันทะ ซึ่งหากใครไปปฏิบัติกับหลวงน้าสายหยุด (พระภิกษุที่หลวงปู่ให้สอนกรรมฐานคนใหม่ ๆ) ท่านก็มักจะพูดว่า "ให้ยินดีในองค์พระที่เกิดขึ้นที่จิต"
การ "ยินดีในองค์พระที่เกิดขึ้นที่จิต" ไม่ได้แปลว่าให้หลงตัวเองว่าตนบรรลุแล้ว หรือเป็นผู้วิเศษ หรือมีกิเลสน้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด
ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิบัตินั้น นิวรณ์ต่าง ๆ ยังมีอิทธิพลครอบงำจิตใจของเรา เราจึงต้องอาศัยเครื่องมือหลายอย่างช่วยพยุงให้เราพ้นไปจากอำนาจของมัน (ให้พ้นแรงดึงดูดของมัน) มีทั้งคำบริกรรมภาวนาเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ มีทั้งการยินดีในองค์พระเป็นกำลังส่ง (คนที่มีนิสัยปัจจัยเรื่องการรู้การเห็นภายในก็เห็นไป คนไม่มีนิสัยปัจจัยด้านนี้ ก็น้อมใจตามที่หลวงปู่สอนว่า ขณะบริกรรมภาวนา (ไตรสรณคมณ์) ความสว่างหรือองค์พระจะค่อย ๆ เกิดขึ้นเอง (ไม่ว่าจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม) ดังนั้น แม้ไม่เห็น เราก็ยินดีกับสภาวะแห่งความปลอดโปร่ง เบากายเบาใจว่านั่นคือสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความสว่างของจิต หรือจิตที่มีภาวะแห่งความเป็นพระ (สงบ สว่าง)
เมื่อพ้นไปจากแรงดึงดูดคือนิวรณ์ต่าง ๆ แล้ว ทีนี้ก็วางใจเป็นกลาง ๆ (ไม่ต้องอาศัยตัวยินดีอีก) เหมือนกระสวยอวกาศที่สลัดท่อนเชื้อเพลิงออก ฉันใดก็ฉันนั้น) การพิจารณากายหรือจิตค่อยเป็นไปบนฐานของใจที่เป็นกลาง ๆ นี้
นี้ถ้าไม่ได้หลักที่หลวงปู่สอน จึงช่วยให้เข้าใจกระบวนการเหล่านี้ได้ง่ายเข้า เพราะหลวงปู่สอนให้ตระหนักไว้เสมอว่าธรรมะนั้นมีหยาบ กลาง ละเอียด ในหยาบก็ยังมีหยาบ กลาง ละเอียด ฯลฯ อย่าพึ่งด่วนสรุปว่าเราเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เพราะเมื่อปฏิบัติไป ๆ เราจะรู้ว่าสิ่งที่เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรมภาวนา ปีติ สุข ฯลฯ กลับกลายเป็นอุปสรรคหรือเครื่องรุงรังใจในขั้นของการปฏิบัติที่ประณีตสุขุม การจะปฏิเสธหรือรังเกียจเครื่องมือเหล่านี้ จะทำให้เราไม่อาจก้าวข้ามการปรับจิตในขั้นต้นไปได้ จุดสำคัญจึงอยู่ที่การมีปัญญากำกับว่าเครื่องมือคือเครื่องมือ ที่เมื่อหมดหน้าที่ก็ปล่อยวางมัน เพราะมันคือเครื่องมือ มิใช่ผลสุดท้ายที่พึงหวัง |
|
|
|
|
ระกา |
Posts: 0 topics
Joined: 11/11/2553
|
|
ความคิดเห็นที่ 2 « on 1/2/2555 11:37:00 IP : 202.28.25.165 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
แสง คือ เครื่องมือ มิใช่เป้า
หลงแสง หลงเครื่องมือ ไม่ถึงเป้า
วางใจกลางๆ กับแสง
จิตที่กลางๆ สว่างเบา นำประโยชน์ไปใช้พิจารณากาย
สังขาร เข้าสู่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อ่านแล้วพอจะสรุปตามความเข้าใจได้เช่นนี้
สาธุ ขอบคุณ พี่ๆ ทุกท่าน ที่ให้ปัญญา
อ่านแล้วก็วาง...แล้วกลับไปทำความเข้าใจกับความจริงที่เกิดขึ้น
สาธุ กับคำชี้แนะแนวทาง.............. |
|
|
|
|
ธุลีดิน |
Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 3 « on 1/2/2555 23:09:00 IP : 58.8.14.248 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
จากหลงนิมิตร.. สู่วิปัสสนูปกิเลส
นำมาซึ่งการจัดหนักแบบเข้มๆของท่านอาจารย์ทั้งสอง
เหล่าสาธุชนเพื่อนๆ ก็เลยพากันได้ประโยชน์ในภาคปฏิบัติกันไปเต็มๆ
หนัก..หนัก.. อย่างนี้ย่อมมีต้องของดีแลประโยชน์
สาธุ..สาธุ..สาธุ ครับ
(สงสัยต้องหาหัวข้ออะไรดีหนอ..มาแหย่ผู้เฒ่าลุงทั้งสอง..ให้ปล่อยวิชา จัดหนักบ่อยๆซะละมั้ง ) |
|
|
|
|
น้อง |
Posts: 5 topics
Joined: 17/3/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 4 « on 2/2/2555 15:39:00 IP : 124.120.54.161 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
ทำเอง ทำจริง เห็นประโยชน์จากการทำ
ในเส้นทางรอยธรรมที่เดินจะมีบททดสอบ ให้เราได้ใช้ของจำ ให้ได้ทำจริงๆถ้ามีสติ มีกัลยณมิตร ให้มีพิจารณา มหาพิจารณา ถ้าเราเคยคิดว่า อะไรที่ไม่ทำให้เราถึงแก่ความตายมีแต่จะทำให้เราแกร่งขึ้น ถ้าขาดการพิจารณาการแกร่งนี้ก็ไม่ยั่งยืน
อยากเชิญชวนให้ฟังคำแปลบทสวด ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เพราะจับจิต และจริงเท่าที่ความจริงจะเป็นได้ พิจารณา มหาพิจารณา
พุทธัง สรณังคัจฉามิ ธัมมัง สรณังคัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ
อย่านัดใครตอนเที่ยง ๑๒นาฬิกา เพราะไม่มีอะไรเที่ยง |
|
|
|
|
ธุลีดิน |
Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 5 « on 3/2/2555 8:31:00 IP : 115.87.193.202 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
Aimee2500 Talk: |
ของจำคือของจริง แต่ของจริงไม่ใช่ของจำนะคุณขา
ของจริงคือของธรรม ไม่ต้องจำ ควรหมั่นทำเข้าใว้นา
ธรรมของจริง ทำจริง ไม่ต้องจำทำทุกเวลา
หลวงปู่ว่าของจริงต้องหมั่นทำ หนูเลยจำแล้วทำจริงจริง..........สาธุ
|
|
เมื่อจำแล้วทำจริง..
ย่อมเห็นจริง..แน่นอนนา..
แบกทุกข์ทำไมหนา..
พากเพียรนา..จะเห็นจริง !!
|
|
|
|
|
|
DRAGON |
Posts: 3 topics
Joined: 20/5/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 6 « on 3/2/2555 8:47:00 IP : 58.64.35.243 » |
|
Re: ไม่พอดี |
|
|
|
ธุลีดิน Talk: |
Aimee2500 Talk: |
ของจำคือของจริง แต่ของจริงไม่ใช่ของจำนะคุณขา
ของจริงคือของธรรม ไม่ต้องจำ ควรหมั่นทำเข้าใว้นา
ธรรมของจริง ทำจริง ไม่ต้องจำทำทุกเวลา
หลวงปู่ว่าของจริงต้องหมั่นทำ หนูเลยจำแล้วทำจริงจริง..........สาธุ
|
|
เมื่อจำแล้วทำจริง..
ย่อมเห็นจริง..แน่นอนนา..
แบกทุกข์ทำไมหนา..
พากเพียรนา..จะเห็นจริง !!
|
|
|
|
เห็นจริงได้ ต้องทำจริง
จะรู้จริง ต้องยิ่งทำ
ทำไปใคร่ครวญธรรม
ให้หมั่นทำ ธรรมของจริง |
|
|
|
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ » คลิ๊กที่นี่ |
|
|