มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่วัดสะแกช่วงบ่ายเย็นวันนี้ (๑๘ ก.พ. ๕๕)
เรื่องก็มีอยู่ว่าลุงสิทธิ์ได้ไปนั่งปฏิบัติที่วัดสะแก ซึ่งนอกจากลุงสิทธิ์ก็ยังมีลูกศิษย์อีกประมาณ ๒-๓ คน กำลังนั่งสมาธิอยู่แถว ๆ หน้ากุฏิหลวงปู่
จากนั้นไม่นานก็มีหญิงสาวคนหนึ่งมากราบหลวงปู่แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์บทบูชาพระ (ที่สมัยนี้นิยมเรียกกันใหม่ว่าบทจักรพรรดิ) โดยไม่ได้คำนึงว่าเสียงจะไปรบกวนการปฏิบัติของใคร ๆ
ที่ทำภาวนาก็ทำกันไป ที่สวดก็สวดกันไป คนทำภาวนาก็ต้องเพิ่ม concentrate ในการภาวนาให้มากขึ้น อันนั้นก็ถือเป็นแบบฝึกหัดและสิ่งที่ต้องฝึกฝนกันไป
พอลุงสิทธิ์ภาวนาเสร็จก็ให้รู้สึกสงสารเขาว่าทำอย่างไรจะให้คนไม่รู้ได้รู้ ทำอย่างไรจะช่วยคนที่มามอบตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ได้รู้ว่า "กำลังทำสิ่งที่หลวงปู่ไม่พาทำ" นั่นก็คือการส่งเสียงรบกวนการปฏิบัติของผู้อื่น (แม้เป็นเสียงสวดมนต์ก็ตาม)
ที่สำคัญจะพูดอย่างไรมิให้กระเทือนต่อศรัทธาของเธอ เพราะเธอมากราบและสวดมนต์บูชาหลวงปู่ด้วยความนอบน้อมยิ่ง
ลุงสิทธิ์ครุ่นคิดอยู่พอสมควร ก็สรุปกับตัวเองว่า เราควรช่วยให้เธอไม่ขาดทุนกำไรในการมาวัดสะแก หรือจะไปวัดไหน ๆ ควรที่เธอจะรู้จักว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เพื่อให้เธอได้บุญล้วน ๆ ไม่มีบาปติดกลับไป
พอมีจังหวะเหมาะลุงสิทธิ์ก็เลยไปนั่งสนทนากับเธอ โดยเริ่มจากการเล่าถึงอุบายและช่องทางบุญที่หลวงปู่แนะนำศิษย์ แล้วค่อยเขยิบมาที่ช่องทางบาปที่หลวงปู่เตือนศิษย์ ซึ่งที่หนักหนามากก็คือการส่งเสียงรบกวนผู้กำลังปฏิบัติอยู่
โชคดีที่เธอมีทิฏฐิมานะเบาบาง เธอจึงน้อมรับฟังด้วยดี ลุงสิทธิ์เองก็สังเกตเห็นว่าเธอมีน้ำตาคลอเบ้า เธอกล่าวคำขอโทษ จากนั้นก็คลานเข้าไปกราบขอขมาหลวงปู่ในสิ่งที่เธอได้ทำไปด้วยความไม่รู้ ...เรื่องก็จบด้วยดี
(นี่ถ้าเธอเป็นคนมีทิฏฐิมานะมาก ลุงสิทธิ์มีหวังถูกสวนกลับเป็นแน่ เช่นเธออาจพูดว่านี่มันเรื่องของฉัน คุณเป็นใคร ฉันพอใจจะทำของฉันอย่างนี้แหละ! ครูบาอาจารย์ของฉันสอนฉันมาอย่างนี้)
ลุงสิทธิ์และลุงเมธาได้บอกเล่าเพื่อน ๆ ในเว็บ "หลวงปู่อมยิ้ม" บ่อยครั้งในเรื่อง "สาธารณธรรม" กับ "อสาธารณธรรม" ...สิ่งใดเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรไปทำในที่สาธารณะ ส่วนใดที่ควรปรับตัวให้เข้ากับที่สาธารณะคือวัดหรือสำนักที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น
การสวดมนต์เป็นสิ่งดี แต่เราต้องรู้กาละเทศะ หากเราอยู่ที่บ้าน เราจะสวดของเราอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นที่สาธารณะ เราต้องพิจารณาให้มาก ต้องมีความละเอียดลออ จะทำอย่างที่ทำที่บ้านไม่ได้ เช่น เวลาเขานั่งภาวนา เราก็ต้องช่วยรักษาความเงียบสงบ เวลาเขาสวดมนต์ทำวัตรซึ่งปรกติวัดแต่ละแห่งก็จะมีการสวดเฉพาะ บางที่สวดแบบแปล บางที่สวดแบบไม่แปล บางที่สวดช้า บางที่สวดเร็ว ซึ่งหากเราไปอยู่ที่วัดใด สำนักใด เราก็ควรสวดให้พร้อมเพรียงกับเขา มิใช่จะงัดเอาแต่บทสวดส่วนตัวของเราไปทำตัวให้แปลกแยกกับเขา
เหนือสิ่งอื่นใด หลวงปู่ไม่เคยพาทำในเรื่องที่ให้ลูกศิษย์มานั่งสวดบทบูชาพระกันเป็นชั่วโมง ๆ ท่านมีแต่ว่า "ให้ไปทำงาน" คือ ให้ไปหาที่นั่งภาวนา นอกจากนี้ท่านยังเตือนอยู่บ่อยครั้งว่า "สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน" คือ สวดมนต์แต่น้อย ภาวนาให้มาก ๆ
ขอพวกเราได้รับทราบและช่วยกันรักษาปฏิปทาของหลวงปู่กันไว้ รวมทั้งอย่าให้วัดไหน สำนักไหน มาว่าได้ว่าหลวงปู่พาทำอย่างนี้หรือ (คือเป็นผู้ไม่รู้กาละเทศะในการปฏิบัติ) อย่างที่กำลังเกิดในหลายแห่ง
ลุงสิทธิ์และลุงเมธาจะได้สามารถเกษียณไปอย่างเบาใจ |