เรื่องราวของพระเจ้าชมพูบดีที่หลวงปู่ดู่เคยนำมาเล่าให้ลูกศิษย์ฟังนั้น ท่านเล่าเพียงเป็นคล้าย นิทานธรรม เพื่อจะอุปมาความยิ่งใหญ่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ายิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าจักรพรรดิราชทั้งหลาย รวมทั้งให้เห็นว่าธรรมานุภาพย่อมเหนืออานุภาพของฝ่ายอาณาจักร
แท้จริงแล้วเรื่องพระเจ้าชมพูบดีนั้นมิใช่เรื่องจริง และก็ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎกในชั้นแรก หากแต่เป็นพระสูตรที่แต่งขึ้นชั้นหลัง ในยุคที่ลัทธิมนตรยาน (นิกายย่อยของมหายาน) รุ่งเรืองซึ่งอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาในอดีต ผู้ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่แปลพระสูตรต่าง ๆ ของฝั่งมหายานในจีนมาเป็นภาษาไทย ท่านได้เล่าและวิเคราะห์เรื่องมหาชมพูบดีสูตรไว้โดยย่อว่า...
ยังมีสูตรซึ่งแพร่หลายมาแต่โบราณสูตรหนึ่ง คือ มหาชมพูบดีสูตร เนื้อเรื่องเล่าว่า มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ครองกรุงปัจจาละ มีฤทธิ์อำนาจพิเศษด้วยของคู่บุญหลายอย่าง เช่น ฉลองพระบาท ซึ่งสวมใส่แล้วสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และศรวิเศษอาจบังคับไปทำร้ายศัตรูในที่ต่าง ๆ กษัตริย์องค์นี้มีพระนามว่า พระเจ้าชมพูบดี
ราตรีหนึ่งเป็นวันเพ็ญอุโบสถ พระเจ้าชมพูบดีจึงสวมฉลองพระบาทเที่ยวเหาะชมดูบ้านเมืองในชมพูทวีป จนกระทั่งลุถึงเมืองราชคฤห์ ทอดพระเนตรเห็นยอดปราสาทอันวิจิตรของพระเจ้าพิมพิสารผู้ครองนคร ก็บังเกิดความริษยา ยกพระบาทถีบยอดปราสาทหมายจะให้ล้มพินาศ แต่อานุภาพแห่งบุญของพระเจ้าพิมพิสารคุ้มครอง พระบาทและพระชานุของพระเจ้าชมพูบดี กลับแตกทำลายได้ทุกขเวทนา
คราวนี้ทรงพิโรธจัด ใช้พระขรรค์วิเศษฟันยอดปราสาทอีก ด้วยพุทธานุภาพซึ่งแผ่มาป้องกัน พระขรรค์นั้นกลับย่อยยับเป็นธุลีไป พระเจ้าชมพูบดีจึงเหาะกลับกรุงปัญจาละ แล้วปล่อยศรวิเศษลอยมาทำร้ายพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารจึงเสด็จไปทูลขอให้พระพุทธองค์ปกป้อง จึงได้บังเกิดการต่อฤทธิ์กันขึ้นระหว่างพระศาสดากับพระเจ้าชมพูบดี พระพุทธองค์ทรงจำแลงเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช มีพระอินทร์, พระพรหม, เทพยดา, นาค, ครุฑ, คนธรรพ์ เป็นบริวาร ทรงปราบทิฏฐิมานะของพระเจ้าชมพูบดีได้สำเร็จ พระเจ้ากรุงปัญจาละกลับผิดเป็นชอบได้ เสด็จออกผนวช จนที่สุดได้บรรลุอรหัตผล
พระสูตรนี้เป็นพระสูตรในลัทธิมหายาน หรือมนตรยานอย่างแน่นอน พระพุทธเจ้าทรงเครื่องกษัตราธิราชในลัทธิมนตรยานมักเป็นพระอาทิพุทธะ พระไวโรจนะพุทธะ และพระศากยมุนีพุทธะ ตามเรื่องราวในชมพูบดีสูตร ว่ากันตามนัยแห่งลัทธิมนตรยานแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งปวงย่อมเป็นภาคหนึ่งของพระอาทิพุทธ หรือพระไวโรจนะพุทธะนั่นเอง
พระมหาชมพูบดีสูตรจะแต่งขึ้นในอินเดียแล้วแพร่มาลังกา หรือว่าจากอินเดียมาสู่แหลมอินโดจีนโดยตรงก็ได้ แต่คติของสูตรนี้แพร่หลายในประเทศไทยมาช้านานมาก ดังปรากฏปฏิมากรรมพระพุทธรูปทรงเครื่องมีมาครั้งขอมมีอำนาจ สมัยลพบุรีจำนวนมาก โดยเฉพาะที่เป็นประเภทพระพิมพ์ จนกระทั่งถึงสมัยอยุธยาก็ยังนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง และพระพิมพ์ทรงเครื่อง
เมื่อรัชสมัยพระเจ้าบรมโกษ มีราชทูตลังกาเข้ามาขอพระราชทานสมณวงศ์ออกไปตั้งสมณวงศ์ในประเทศของตน พวกราชทูตได้ไปนมัสการพระพุทธปฏิมาทรงเครื่อง ที่วัดแห่งหนึ่งที่อยุธยา เกิดความสงสัยว่าทำไมจึงเหมือนเทวรูปนัก ทั้งนี้เพราะชาวลังกาไม่เคยเห็นพระทรงเครื่องอย่างนี้เลย
ไทยต้องชี้แจงเรื่องราวในชมพูบดีสูตรให้ฟัง และเมื่อพวกทูตจะกลับคืนบ้านเมือง ไทยยังได้เรื่องชมพูบดีสูตรส่งไปแพร่หลายให้ชาวลังกาทราบ แถมยังมีหนังสือกำกับให้เสนาบดีลังกา กราบทูลพระเจ้ากรุงลังกาให้ทรงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องขึ้นบ้าง จักเจริญพระราชกุศลยิ่ง ๆ ขึ้น
บางทีคติเรื่องชมพูบดีสูตรจักสูญจากความทรงจำของชาวลังกามานาน ทั้งที่ครั้งหนึ่งลัทธิมนตรยานรุ่งเรืองในลังกา อย่าว่าแต่จะหาลัทธิมนตรยานไม่ได้เพราะเสื่อมสูญมาช้านานเลย แม้สมณวงศ์ลัทธิฝ่ายเถรวาทในลังกาก็ยังขาดสูญ จนต้องมาขอสงฆ์ไทยออกไปตั้งวงศ์ใหม่ขึ้น กระแสมนตรยานในลัทธิเถรวาท จึงคงสืบสายยั่งยืนมาในรูปไสยเวทพุทธาคมจวบจนกาลปัจจุบัน.
จากบทความของอาจารย์เสถียร จึงทำให้เราเข้าใจว่าเรื่องราวของพระเจ้าชมพูบดีนั้น ไม่ใช่พุทธประวัติแท้ หากแต่มีการแต่งขึ้นในชั้นหลัง ชื่อแคว้นปัญจาละซึ่งเอ่ยถึงในชมพูบดีสูตรนั้นแม้จะมีอยู่จริง (เป็น ๑ ใน ๑๖ แคว้นใหญ่ในครั้งพุทธกาล) หากแต่ชื่อพระเจ้าชมพูบดีนั้น ไม่ปรากฏ เพราะแคว้นปัญจาละมิได้มีกษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจมากมายอะไร เพราะใน ๑๖ แคว้นดังกล่าว มีเพียง ๕ แคว้น ที่มีกษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจมากและขับเคี่ยวแย่งชิงอาณาจักรในบางคราว ปรารฏชื่อในพระสูตรหลายแห่งตรงกัน ได้แก่
๑. แคว้นมคธ เมืองหลวงชื่อ ราชคฤห์ กษัตริย์ผู้ปกครองคือ พระเจ้าพิมพิสาร
๒. แคว้นโกศล เมืองหลวงชื่อ สาวัตถี กษัตริย์ผู้ปกครองคือ พระเจ้าปเสนทิโกศล
๓. แคว้นวังสะ เมืองหลวงชื่อโกสัมพี กษัตริย์ผู้ปกครองคือ พระเจ้าอุเทน
๔. แคว้นอวันตี เมืองหลวงชื่ออุชเชนี กษัตริย์ผู้ปกครองคือ พระเจ้าจัณฑปัตโชติ
๕. แคว้นวัชชี เมืองหลวงชื่อเวสาลี มีกษัตริย์หลายพระองค์ร่วมปกครอง (ต้นแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตยยุคแรก)
โดยสรุป แม้เรื่องพระเจ้าชมพูบดีจะมิใช่เรื่องจริง แต่ก็ให้อุปมา คือภาพความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ที่มีพระราชอำนาจมาก แต่ความยิ่งใหญ่นั้นไม่อาจเทียบได้กับความยิ่งใหญ่แห่งธรรมานุภาพขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า รวมทั้งช่วยให้ทราบว่าเรื่องชมพูบดีสูตรนี้เองที่เป็นต้นแบบของการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง (แต่งกายอย่างกษัตริย์ชั้นจักรพรรดิ) ในกาลต่อมา |