ต่อไปนี้เป็นเนื้อความตามจดหมายเหตุ รัชกาลที่ ๔ สวรรคต
วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือนสิบเอ็ด ปี พ.ศ ๒๔๑๑
เวลาสองโมงเช้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีรับสั่งแก่พระยาบุรุษรัตน์ว่า "วันนี้เป็นวันสำคัญ อย่าไปข้างไหนเลย ให้คอยดูใจพ่อ ข้ารู้เวลาตายของข้าแล้ว ถ้าข้าจะเป็นอย่างไรลง ก็อย่าได้วุ่นวาย บอกหนทางว่า "อรหํ พุทฺโธ" เลย ให้นิ่งดูแต่ในใจเถิดเป็นธุระของข้าเอง"
เวลาสามโมงเศษ มีรับสั่งเรื่องการจัดการพระศพ
เวลาใกล้เที่ยง รับสั่งกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ และเจ้าพระยาภูธราภัย ที่โปรดฯ ให้เข้าเฝ้าว่า "วันนี้พระจันทร์เต็มดวง เป็นวันเพ็ญ อายุของฉันจะหมด จะดับในวันนี้แล้ว ท่านทั้งหลายและฉันได้ช่วยทำนุบำรุงประคับประคองกันมา บัดนี้ กาละมาถึงฉันแล้ว ฉันจะขอลาท่านทั้งหลาย ด้วยฉันออกอุทานวาจาไว้เมื่อบวชอยู่นั้นว่า เมื่อไรเป็นวันเกิดก็อยากจะตายในวันนั้น วันฉันเกิดเป็นวันเพ็ญ เดือนสิบเอ็ด ฉันจะขอลาท่านทั้งหลายไปจากภพนี้ในวันนี้"
ทั้ง ๓ ท่านได้ยินดังนั้นก็พากันโศกเศร้าร้องไห้ พระองค์จึงรับสั่งปลอบว่า "อย่าร้องไห้เลยจ้ะ ความตายไม่เป็นของอัศจรรย์อะไรดอก สัพเพสังขาราอนิจจา สัพเพธัมมาอนัตตา ย่อมเหมือนกันทุกรูปทุกนาม แต่ผิดกันที่ตายก่อนตายหลัง แต่ก็ต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น ก็บัดนี้กาลมาถึงตัวฉันเข้าแล้ว ฉันจึงได้อำลาท่าน ท่านเห็นว่าฉันจะพลัดพรากจากไป มีความอาลัยรักใคร่ จึงได้ร้องไห้ด้วยความเสียดาย ก็บัดนี้ตัวฉันเป็นคนเข้าถึงก่อนแล้ว ท่านทั้งหลายก็ต้องถึงเหมือนกัน"
จากนั้นพระองค์ได้ตรัสเกี่ยวกับการแผ่นดิน และได้สมาทานศีล ๕ จากนั้นก็ตรัสเป็นภาษาอังกฤษยืดยาว เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรงมีสติดีอยู่ มิได้ฟั่นเฟือน แล้วตรัสสั่งว่า "ถ้าสิ้นตัวฉันแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำนุบำรุงการแผ่นดินต่อไปให้เรียบร้อย สมณพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร์จะได้เป็นที่พึ่ง อยู่เย็นเป็นสุข แต่ต้องรับฎีการ้องทุกข์ของราษฎรให้เหมือนอย่างที่ฉันเคยรับมาแต่ก่อน ส่วนผู้ที่จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไปในภายหน้า ให้พร้อมกันเลือกหากันเถิด จะเป็นพี่ก็ตาม จะเป็นน้องก็ตาม สุดแต่จะเห็นพ้องกัน ผู้ใดมีปรีชาญาณสามารถรักษาแผ่นดินได้ก็ยกขึ้นเป็นเจ้าทำนุบำรุงแผ่นดินและพระบรมวงศานุวงศ์และราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขต่อไป"
เวลาบ่ายห้าโมงเศษ มีรับสั่งพระศรีสุนทรโวหารให้เข้าเฝ้าเพื่อให้จดพระคาถาที่แต่งขึ้นสด ๆ เป็นภาษามคธ เพื่อเป็นการลาพระและเป็นการขอขมาสงฆ์ แล้วทรงให้มหาดเล็กจัดเครื่องนมัสการไปตั้งที่พระอุโบสถวัดราขประดิษฐ์ฯ เมื่อสงฆ์จะกระทำวินัยกรรมปวารณาพระวัสสา ให้จุดธูปเทียนแล้วให้อ่านคาถาพระในท่ามกลางสงฆ์แทนพระองค์
เวลาสองทุ่มสามสิบหกนาที รับสั่งพระยาบุรุษรัตน์ว่า "พ่อเพ็ง เอาโถมารองเบาให้พ่อที" พระยาบุรุษรัตน์จึงเอาโถพระบังคนเบาขึ้นบนพระแท่นถวาย ลงพระบังคนแล้วก็พลิกพระองค์ไปข้างตะวันออก รับสั่งว่า "จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว" แล้วพลิกพระองค์หันพระพักตร์สู่ทิศตะวันตก รับสั่งอีกว่า "จะตายเดี๋ยวนี้แล้ว"
ทรงภาวนามีเสียงออกมาว่า "อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ" ทรงอั้นนิ่ง แล้วทรงผ่อนอัสสาสะ ปัสสาสะ (ลมหายใจออก-เข้า) เป็นคราว ๆ ยาวแล้วผ่อนสั้นเข้าทีละน้อย ๆ หางพระสุรเสียงยังคงให้ได้ยินเพียงว่า "พุทฺโธ ๆ ๆ ๆ" ลมหายใจเบาลงทุกที ๆ กระทั่งตลอดไปจนยามหนึ่ง มีเสียงดังคร็อกเบา ๆ พระองค์ก็จากไป
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเวลาเต็มปฐมยาม สวรรคตในท่าพระไสยาสน์ พระสรีระร่างกาย พระหัตถ์ พระบาท จะกระดิกกระเดี้ยเหมือนอย่างสามัญชนก็หามิได้ แล้วก็มีหมอกคลุมมัวเข้าไปในพระที่นั่งในเวลานั้น.
|