luangpudu.com / luangpordu.com
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  

หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน

คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป

(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)

   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ  (Read: 41929 times - Reply: 21 comments)   
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
« Thread Started on 21/1/2553 7:23:00 IP : 203.148.162.128 »
 

“ สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ มองอยู่ที่ใจ เห็นอยู่ที่ใจ เพ่งอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ พิจารณาอยู่ที่ใจ ...อิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน สติอันเดียว... ก็ไม่หลาย “ 

           “ มันต้องฝึก ฝึกให้เป็นสมาธิ หนักแน่น ... หนักแน่นอย่างดี แล้วก็เพ่งเข้า ๆ  มันก็เกิดแสงสว่าง เกิดความแจ้ง ความสว่าง ความสงบ ขึ้นที่ใจ สุขก็มีมาพร้อม ก็เสวยสุขนี่ละบัดนี้ เสวยสุขจนเบื่อสุข  มันล้นแล้ว  วิปัสสนามันก็วิ่งเข้ามาเลยถามเลย... อันไหนเที่ยง อันไหนไม่เที่ยง อันไหนเที่ยง อันไหนไม่เที่ยง  หมดเลย... สกนธ์กายนี่ ไม่เที่ยงสักสิ่งสักอย่าง โยนทิ้ง โยนทิ้งหมดเลย อยู่กับพระธรรมเท่านั้นแหละ ไปไหนก็ไปด้วยกันนั่นแหละ สบายแล้ว มันก็ยากแท้ละ... พูดนี่ไม่ยากหรอก  มันยากผู้ทำ “

 บัดนี้ หลวงปู่ทาได้มรณภาพไปแล้ว โดยท่านหลวงตามหาบัวเป็นประธานในพิธี กระดูกท่านก็เป็นพระธาตุตั้งแต่วันแรกที่เผา คำสอนท่านเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่มากโวหาร น่าเผยแพร่ให้กว้างขวางออกไป 

ไปฟังธรรมท่านหลายครั้ง แต่ละครั้งหลวงปู่ทาท่านสอนคล้าย ๆ เดิม (เหมือนหลวงปู่ดู่ที่ตอกย้ำในเรื่องให้หมั่นดูจิต รักษาจิต) โดยท่านมักใช้คำว่า "เพ่ง ๆ" แต่ทำไมการปฏิบัติธรรมสมัยใหม่จึงรังเกียจอาการ "เพ่ง" ถึงขนาดจัดว่าเป็นมิจฉาสมาธิเชียว แต่ก็ยังกล่าวอ้างว่าท่านสอนตรงตามอย่างสำนักตน (ซึ่งรังเกียจการเพ่ง)

จึงเป็นข้อเตือนใจให้บรรดาลูกศิษย์ครูบาอาจารย์ ควรที่จะเผยแผ่คำสอนครูบาอาจารย์อย่างซื่อตรง ไม่บิดเบือนคำสอนเดิมของท่าน การขยายความหรือให้ความเห็นเพิ่มเพื่อความเข้าใจของผู้อ่านหรือผู้ฟัง ย่อมทำได้ แต่ควรแยกส่วนออกมา มิใช่ไปดัดแปลงคำพูดท่านจนกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูปไป รวมทั้งไม่พยายามตีความหรือให้นิยามใหม่เพื่อสนับสนุนแนวคิดของตน จนคนเก่าคนใหม่พากันสับสน และไม่เป็นการซื่อตรงต่อครูอาจารย์ .

...จงมีความเคารพเอื้อเฟื้อในธรรมของพระพุทธเจ้าและครูอาจารย์ (ให้ยิ่งกว่าทิฏฐิความเห็นของตน)

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
  ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
จำนวนข้อความทั้งหมด:  16
<
1
2
แสดงความคิดเห็น
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 11  « on 14/4/2555 19:33:00 IP : 110.168.239.85 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 

ตามที่คุณพรสิทธิ์ตอบให้ความกระจ่าง..ก่อนอื่นผมขอตอบว่า เห็นด้วยครับ..และขอขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

อย่างไรก็ดี สงกรานต์วันว่างๆ พอมีเวลาพูดคุยได้เยอะ เราลองมาคุยถามตอบกันแบบสบายๆ ชิวๆ มีเรื่องรบกวนถามคุณพรสิทธิ์ต่อไปว่า..

ไม่มองกันที่เพื่อนสมาชิกศิษย์หลวงปู่ ในหน้าหลวงปู่อมยิ้มของคุณพรสิทธิ์กันน่ะครับ เพราะเชื่อว่าแต่ละท่านตางติดภูมิปัญญาคุ้มกัน ได้พอสมควร ดีกันทุกท่านอยู่แล้ว เรียกว่าพอเอาตัวรอดได้แน่นอน ต่างกันแต่ใครคนใด จะวันใด เมื่อใดก็เท่านั้น (ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีครับ)

แต่คราวนี้ เราลองหันหลังกลับ มามองโดยภาพกว้าง ภาพรวมๆของโลกภายนอกกัน โดยผมแบ่งคำถามออกเป็นสองภาคส่วน

ส่วนที่ 1 คือ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยปฏิบัติเลย หรืออาจลองปฏิบัติมาบ้าง กับ

ส่วนที่ 2 คือ สุดกู่กับส่วนที่หนึ่งเลย คือ อ่านมามาก จำได้มาก แม่นพระไตรปิฏกทั้งเล่ม หรือแม้กระทั้งปฏิบัติมามาก มากในที่นี้หมายถึง นานปีน่ะครับ ไม่ได้หมายถึงมากโดยภูมิธรรม

ในส่วนคำถามสำหรับบุคคลกลุ่มที่หนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าโดยภาพในโลกแห่งความจริง ของคนในส่วนมาก คุณพรสิทธิ์เคยได้ยินคำถามหรือคำตอบลักษณะนี้มั๊ยครับ ?

 

1. โอ๊ย..ให้นั่งสมาธิหรือ ไม่นั่งหรอก นั่งไม่ได้ ฉันมันคนใจไม่นิ่ง อยู่เฉยๆไม่ได้กับเขาหรอก อีกอย่างถ้าให้นั่งฉันก็กลัว เดี๋ยวจะเป็นบ้าไป เขาว่าบางคนไปเห็นผี เห็นนรก แล้วก็กลายเป็นบ้าไป

2. ส่วนบางแห่งก็ว่า ถ้าสะสมบารมีเยอะๆ ทำความดีเยอะๆ..ทำบุญเยอะๆ..ก็จะมีบ้านอยู่บนสวรรค์ เขาบอกว่าเขาไปปลูกไว้เสร็จแล้ว รอแต่หมดบุญจากโลกนี้ก็จะกลับไปอยู่บ้านเขาบนสวรรค์  เขาว่ากลุ่มเพื่อนๆเขาทุกคน อาจารย์เขาพาไปดูเห็นบ้านของตนเองหมดแล้วทุกคน..สวยเป็นแก้วใส ใครทำบุญได้เยอะๆมีบ้านเป็นวิมานแก้วก็มี มีข้าทาสบริวารพร้อม หรือถ้ายังสร้างบุญไม่เยอะ อาจารย์ท่านก็อาจพาขึ้นไปดูวิมานแก้วของคนอื่นเขาก่อน จะได้มีกำลังใจในการสร้างบุญสร้างกุศลต่อไป เขาว่าคุณเป็นคนเคยปฏิบัติมาบ้างนี่..เป็นไงล่ะ เคยเห็นเหมือนเขามั๊ยล่ะ เคยไปเที่ยววิมานแก้วกับเขาบ้างหรือยัง อาจารย์เธอเก่งมั๊ย พาไปดูได้มั๊ย ถ้าไปเที่ยวแบบนี้ฉันก็อยากไปบ้าง

3. ขยับจากกลุ่มผู้ปฏิบัติข้อที่ 1 และ 2 ขึ้นมาหน่อย คือ ปฏิบัติมาบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มีแต่บางที่ทำไป ทำไป กลายเป็นปวดหัว ปวดขมับ ตึงๆเกร็งไปหมด ก็อาจารย์เขาบอกให้เพ็งมองลมหายใจเข้า-ออก บ้างก็ว่าให้ท่องพุท-โธ ตามไปด้วย (ผม/นู๋) ก็ทำตามทุกอย่าง แต่ทำไมไม่เห็นสงบสงบแบบที่เขาบอกเลย มีแต่ปวดหัวเพิ่มขึ้น บางที่นั่งแค่ 5 นาที10 นาที ลุกขึ้นมาปวดขมับมากเลย ที่ (ผม/นู๋) ทำนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ/ค่ะ ก็ผมก็จ้องๆๆๆ เพ่งตามที่อาจารย์เขาสอนแล้วนี่..

ความจริงยังมีคำถามอีกเยอะที่เดียว แต่อยู่ดีๆจิตมันก็คร้านจพิมพ์เอา เอาเป็นว่า ขอถามเป็นแบบเหมารวมๆเลยแล้วกันครับ ไม่ต้องตอบเป็นข้อๆก็ได้ เกรงใจน่ะครับ คำถามก็คือ คุณพรสิทธิ์คงเคยได้ยินคำถามในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน แล้วมีคำตอบอย่างไรครับ มีมุมมองโดยภาพกว้างอย่างไรบ้างครับ

ส่วนคำถามส่วนบุคคลกลุ่มที่ 2 ขอค้างไว้ก่อนครับ

 

ขอบพระคุณครับ 

  

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 12  « on 14/4/2555 21:22:00 IP : 110.168.239.85 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 
ธุลีดิน Talk:

ตามที่คุณพรสิทธิ์ตอบให้ความกระจ่าง..ก่อนอื่นผมขอตอบว่า เห็นด้วยครับ..และขอขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

อย่างไรก็ดี สงกรานต์วันว่างๆ พอมีเวลาพูดคุยได้เยอะ เราลองมาคุยถามตอบกันแบบสบายๆ ชิวๆ มีเรื่องรบกวนถามคุณพรสิทธิ์ต่อไปว่า..

ไม่มองกันที่เพื่อนสมาชิกศิษย์หลวงปู่ ในหน้าหลวงปู่อมยิ้มของคุณพรสิทธิ์กันน่ะครับ เพราะเชื่อว่าแต่ละท่านตางติดภูมิปัญญาคุ้มกัน ได้พอสมควร ดีกันทุกท่านอยู่แล้ว เรียกว่าพอเอาตัวรอดได้แน่นอน ต่างกันแต่ใครคนใด จะวันใด เมื่อใดก็เท่านั้น (ผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีครับ)

แต่คราวนี้ เราลองหันหลังกลับ มามองโดยภาพกว้าง ภาพรวมๆของโลกภายนอกกัน โดยผมแบ่งคำถามออกเป็นสองภาคส่วน

ส่วนที่ 1 คือ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยปฏิบัติเลย หรืออาจลองปฏิบัติมาบ้าง กับ

ส่วนที่ 2 คือ สุดกู่กับส่วนที่หนึ่งเลย คือ อ่านมามาก จำได้มาก แม่นพระไตรปิฏกทั้งเล่ม หรือแม้กระทั้งปฏิบัติมามาก มากในที่นี้หมายถึง นานปีน่ะครับ ไม่ได้หมายถึงมากโดยภูมิธรรม

ในส่วนคำถามสำหรับบุคคลกลุ่มที่หนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าโดยภาพในโลกแห่งความจริง ของคนในส่วนมาก คุณพรสิทธิ์เคยได้ยินคำถามหรือคำตอบลักษณะนี้มั๊ยครับ ?

 

1. โอ๊ย..ให้นั่งสมาธิหรือ ไม่นั่งหรอก นั่งไม่ได้ ฉันมันคนใจไม่นิ่ง อยู่เฉยๆไม่ได้กับเขาหรอก อีกอย่างถ้าให้นั่งฉันก็กลัว เดี๋ยวจะเป็นบ้าไป เขาว่าบางคนไปเห็นผี เห็นนรก แล้วก็กลายเป็นบ้าไป

2. ส่วนบางแห่งก็ว่า ถ้าสะสมบารมีเยอะๆ ทำความดีเยอะๆ..ทำบุญเยอะๆ..ก็จะมีบ้านอยู่บนสวรรค์ เขาบอกว่าเขาไปปลูกไว้เสร็จแล้ว รอแต่หมดบุญจากโลกนี้ก็จะกลับไปอยู่บ้านเขาบนสวรรค์  เขาว่ากลุ่มเพื่อนๆเขาทุกคน อาจารย์เขาพาไปดูเห็นบ้านของตนเองหมดแล้วทุกคน..สวยเป็นแก้วใส ใครทำบุญได้เยอะๆมีบ้านเป็นวิมานแก้วก็มี มีข้าทาสบริวารพร้อม หรือถ้ายังสร้างบุญไม่เยอะ อาจารย์ท่านก็อาจพาขึ้นไปดูวิมานแก้วของคนอื่นเขาก่อน จะได้มีกำลังใจในการสร้างบุญสร้างกุศลต่อไป เขาว่าคุณเป็นคนเคยปฏิบัติมาบ้างนี่..เป็นไงล่ะ เคยเห็นเหมือนเขามั๊ยล่ะ เคยไปเที่ยววิมานแก้วกับเขาบ้างหรือยัง อาจารย์เธอเก่งมั๊ย พาไปดูได้มั๊ย ถ้าไปเที่ยวแบบนี้ฉันก็อยากไปบ้าง

3. ขยับจากกลุ่มผู้ปฏิบัติข้อที่ 1 และ 2 ขึ้นมาหน่อย คือ ปฏิบัติมาบ้าง แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มีแต่บางที่ทำไป ทำไป กลายเป็นปวดหัว ปวดขมับ ตึงๆเกร็งไปหมด ก็อาจารย์เขาบอกให้เพ็งมองลมหายใจเข้า-ออก บ้างก็ว่าให้ท่องพุท-โธ ตามไปด้วย (ผม/นู๋) ก็ทำตามทุกอย่าง แต่ทำไมไม่เห็นสงบสงบแบบที่เขาบอกเลย มีแต่ปวดหัวเพิ่มขึ้น บางที่นั่งแค่ 5 นาที10 นาที ลุกขึ้นมาปวดขมับมากเลย ที่ (ผม/นู๋) ทำนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ/ค่ะ ก็ผมก็จ้องๆๆๆ เพ่งตามที่อาจารย์เขาสอนแล้วนี่..

ความจริงยังมีคำถามอีกเยอะที่เดียว แต่อยู่ดีๆจิตมันก็คร้านจพิมพ์เอา เอาเป็นว่า ขอถามเป็นแบบเหมารวมๆเลยแล้วกันครับ ไม่ต้องตอบเป็นข้อๆก็ได้ เกรงใจน่ะครับ คำถามก็คือ คุณพรสิทธิ์คงเคยได้ยินคำถามในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน แล้วมีคำตอบอย่างไรครับ มีมุมมองโดยภาพกว้างอย่างไรบ้างครับ

ส่วนคำถามส่วนบุคคลกลุ่มที่ 2 ขอค้างไว้ก่อนครับ

 

ขอบพระคุณครับ 

  



ขออนุญาติพิมพ์เพิ่มคำถามในข้อที่ 2  ว่าด้วยเรื่องการเที่ยวเยี่ยมบ้านตนเองบนที่ไหนสักแห่ง..คือ ใจความได้พิมพ์ตกหล่นไป ที่จะเพิ่มเติมก็คือ..ผมเองไม่กล้าปรามาสท่านผู้ใด สำนักใด ว่าจะจริงเท็จมากน้อยแค่ไหน มีจริงหรือไม่อย่างไร ด้วยเรายังเป็นผู้ปฏิบัติแต่น้อย ความสามารถก็ยังไม่ถึง ทั้งยังไม่เคยมีบุญบารมีพอที่จะออกไปเที่ยวเล่น รู้เห็นภพภายนอกบ้างอย่างไร 
ประเด็นคือ ถ้าหากสิ่งนั้นมีจริงแล้วไซร์ ย่อมขออนุโมทนาในบุญกุศลของเขาด้วยเป็นอย่างยิ่ง แต่หากสมมุติไม่มีจริง..เป็นเพียงภาพหลอน อุปาทาน ที่จิตสร้างขึ้นจากการถูกตอกย้ำฝังแน่นในจิตส่วนลึก แต่บุคคลเหล่านั้น หากเราได้สัมผัสมาบ้าง ต้องยอมรับว่าทุกท่านเป็นบุคคลที่น่ารักมากเหลือเกิน จิตใจดี พูดจาสุภาพ หน้าตาผิวพรรณแจ่มใส ที่สำคัญเป็นผู้ปฏิบัติศีล 5 ได้ครบถ้วนที่เดียว (ไม่ต้องอื่นไกล ดีกว่าผมมากมาย) ทั้งยังเป็นผู้กลัวบาปกลัวกรรมมากที่เดียว เราไม่พูดว่าเขาปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ถูกอย่างไร แต่พูดว่าหากเปรียบเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริง โลกภายนอก มองรอบตัว ที่ปัจจุบันต้องจ้องเอารัดเอาเปรียบ คดโกง ทุจริต ขาดซึ่งความเมตตา มีแต่จ้องเอาประโยชน์แห่งส่วนตน รวมถึงจิตใจคนที่นับวันยิ่งทวีความโหดร้าย ทารุณต่างๆ มากเหลือเกิน จนเห็นกันเป็นปกติชีวิตประจำวัน
ดังนี้แล้ว..บุคคลผู้ที่เขามีความเชื่อเช่นนั้น..จะนับเป็นอย่างไรครับ
เอาแบบรวมๆน่ะครับ ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าจะมีมุมมองในลักษณะไหน จึงต้องขอรบกวนคุณพรสิทธิ์ช่วยชี้แนะด้วยครับ  

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
สิทธิ์

Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552

ความคิดเห็นที่ 13  « on 14/4/2555 21:45:00 IP : 110.169.169.28 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 

คุณธุลีดินนี่ ใจคอจะไม่ให้ผมพักดื่มน้ำเลยหรือครับ

เรื่องกลัวจะปรามาสผู้อื่นนั้น ผมไม่คิดอย่างนั้น แม้เราจะยังไม่หมดกิเลส เราก็มีไม้บรรทัดที่พระพุทธเจ้าให้ไว้นี่ครับ นั่นก็คือ "ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัย" ที่จะบอกว่าคำสอนใดสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

อีกอย่างหนึ่ง ผลที่ออกมามันก็เป็นเครื่องสอบทานได้เป็นอย่างดีว่าแนวปฏิบัตินั้น ๆ ใช่หรือไม่ใช่ เช่น บางแห่งให้ปฏิบัติแปลก ๆ แล้วมอบตำแหน่ง โสดา สกิทา ฯลฯ ใหศิษย์มากมาก ผมก็สังเกตน้อง ๆ เหล่านั้นอยู่ห่าง ๆ ที่เห็นชัดก็คือ เขาเริ่มไม่ยกมือไหว้ใคร ๆ (คงเป็นเพราะสำคัญตนว่าเป็นอริยบุคคล) จากนั้นอีกราวปีกว่า บรรดาโสดา สกิทา อะไรนี่ก็ทะเลาะกันเพราะเหตุเพียงต้องการเป็นศิษย์ใกล้ชิดของพระอาจารย์ จนในที่สุดสำนักก็แตกไป อย่างนี้ หากกลัวจะไปปรามาส แล้วเราจะมีส่วนร่วมรักษาพระศาสนาที่พระพุทธองค์ได้ฝากไว้กับพุทธบริษัท ๔ ได้อย่างไร

ประเด็นสำคัญอยู่ที่การศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้รู้ธรรมเพียงพอจะวินิจฉัยต่างหาก เราจะปล่อยให้ใครเขามารื้อมาย่ำยีพระธรรมของพระพุทธองค์โดยไม่สื่อสารบอกกล่าวคนใกล้ตัวเชียวหรือ

ขอไปพักสักหน่อยก่อน นี่ก็ใกล้เวลาภาวนาที่คุณเมธานัดไว้แล้วนะครับ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 14  « on 15/4/2555 15:43:00 IP : 58.11.101.90 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 

ขอขอบคุณ ลุงสิทธิ์ สำหรับคำตอบ

อุตส่าห์เขียนตอบซะยาว ละเอียดเลย คงเมื่อยนิ้วน่าดู..

ขอบคุณที่สละเวลาน่ะครับ.

------------------------------------------------------------------

ความจริงคำถามต่างๆที่ถาม มันเกิดกับตัวเอง ถาม-ตอบ กับตัวเองหลายๆครั้ง

จนรู้สึกเหมือนภาวะจิตตนเองตอนนี้มันออกจะเฉาๆ..เบื่อๆ..หมดพลัง..ไงไม่รู้

เรื่องของเรื่องก็คือ ช่วงสงกรานต์หยุดยาวนี้..หยิบหนังสือเก่าขึ้นอ่านทบทวน เป็นหนังสือพระประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา (ฉบับมุขปาฐะ) รวบรวมบทบรรยายของท่าน อ. เสถียร โพธินันทะ ว่าด้วยเรื่องการแตกแยกของนิกายต่างๆทางพุทธศาสนา ที่เริ่มแตกจากหนึ่งเป็นสอง จากสองแตกแขนงย่อยออกอีก ย่อยแล้วย่อยเหล่า จนปัจจุบันดูเหมือนจะมีมากถึงกว่า 100 นิกายทั่วโลก

อ่านแล้ว..แม้จิตเข้าใจถึงกฏซึ่งไตรลักษณ์ แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกอดสลดสังเวชเสียมิได้..

พระพุทธศาสนานี้..มิใช่เรื่องง่ายเลยหนอ..

ความที่พระพุทธองค์ทรงจำแนกย่อยบทธรรมคำสอนมากมาย ทรงเป็นพหูสูตร รวบรวมเหตุแก่ปัจจัยทุกสรรพสิ่งเพื่อให้เหมาะสมแก่บุคคลนั้นๆทุกจำพวก..จนมีบทธรรมมากมายถึง 84,000 พระธรรมขันธ์

แล้วก็แลที่มีบทธรรมมากมายเพียงนั้น ก็เหล่าผู้ทรงแก่เรียนนั้นแหละ แม่นในหลักธรรมข้อใด ชำนิชำนาญในบทธรรมหัวข้อใด เลือกเอาเพียงเฉพาะบทเฉพาะตอนที่ตนถนัด ต่างตีความเข้าข้างตน เกิดเป็นตัวทิฐิ ท้ายสุดเมื่อยังไม่บรรลุ ย่อมมีกิเลสเข้าครอบงำกลายเป็น สิ่งที่ตนคิดว่ารู้ คิดว่าตนเข้าใจดีแล้ว เต็มไปด้วยความดีกว่า เก่งกว่า ทุกอย่างมีแต่คำว่า กว่า ๆๆๆๆ....ทั้งสิ้น ที่สุดกลายเป็นว่าอีกฝั่งหนึ่งเป็นมิจฉาไป..ต่างคนต่างว่า ของฉันดี ของฉันถูก อีกฝั่งหนึ่งไม่ถูก ไม่ดี..โอ้..อนิจจา..เอ่ย

กับบรรดาศิษยานุศิษย์นั้นเหล่า..แท้จริงจะเอาธรรมสักกี่คนกันหนอ..ต่างเห็นเป็นแต่เป็นไปเพื่อครูบาอาจารย์ หลงธรรมยังดี แต่หลงอาจารย์นี่ก็น่ากลัวเหมือนกัน เรียกว่าหลงคน ไม่หลงธรรม

ความจริงแล้ว เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานี่..จะว่ายากก็ยากเนอะ..จะว่าง่ายก็ง่ายเนอะ

พระพุทธองค์ไม่ได้สอนอะไรเลย..ทุกสรรพสิ่งสอนเพียงอย่างเดียว คือ ให้เอาชนะได้ซึ่งกิเลส 3 ในความโกรธ ความโลภ ความหลง ถ้าผิดจากนี้เป็นไม่ถูกทั้งสิ้น

ส่วนวิธีการใด เทคนิคใด สำนักใดจะใช่แบบไหน ก็แล้วแต่ก็ช่างเขา ขอให้ปลายทางสุดเป็นไปเพื่อพิจารณาเอาชนะซึ่งอาสวะทุกสิ่งได้จริง ถือว่าเป็นอันถูกต้องทั้งสิ้น

แต่ถ้าผิดจากนี้ เป็นไปเพื่อความเฉยๆก็ดี รู้อยู่เฉยๆก็ดี เพื่อความมีฤทธิ์ มีเดช มีอภินิหาร ออกรู้เรื่องราวภายนอก ไปสร้างบ้านสร้างวิมาน ทัศนะส่วนตัวผมจึงว่า ไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไร 

หันกลับมาที่ประเทศไทยเรา..แม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แต่กฏแห่งไตรลักษณ์ท่านก็ปรากฏให้เห็นอยู่ร่ำไป..

วิธีการปฏิบัติแปลกๆ แวกแนว มีให้เห็นไม่ขาดสาย

เมื่อเห็นแล้ว จิตตอนนี้เขากลับเฉยๆน่ะ..ท่านใดจะปฏิบัติอย่างใด แนวทางไหน ข้าพเจ้าขออนุโมทนาสาธุด้วย ดีทั้งนั้น

ข้าพเจ้าเทียบกับโลกภายนอก ขึ้นชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม จะปฏิบัติถูก ปฏิบัติผิดอย่างไรก็ดี แท้ที่สุดแล้วก็คนดีๆ คนเยี่ยมๆ ที่หาได้ยากยิ่งทั้งนั้น พิจารณาดูให้ดีๆเถอะ บุคคลจำพวกนี้น่าจะมีไม่ถึง 1-2 % ของประชากรทั้งประเทศน่ะ

รักษากันไว้..รักษากันไว้...

ขึ้นต้นผิดถูกอย่างไรก็ช่างมัน ไม่ว่ากัน..ไม่ดูถูกกัน ไม่ข่มกัน ไม่แบ่งแยกกัน ท้ายสุดจิตนี้เอาชนะกิเลสได้ แม้ไม่ได้ทั้งหมด ชำระให้มันเบาบางลงบ้างก็ยังดี ก็ถือว่าเยี่ยมแล้วน่ะ ไม่เสียทีที่ได้เกิดอยูใต้บวรแห่งพระพุทธศาสนา

การเกิดเป็นมนุษย์นั้นว่ายากแสนยากแล้ว..

ยิ่งได้เกิดเป็นพุทธศาสนิกชน นั้นยิ่งแสนยากยิ่งกว่า..

ทำให้มันได้จริง ปฏิบัติให้มันจริง..เอาที่ตัวเราเองก่อนนี่แหละ..ผมว่านี้ล่ะสำคัญที่สุด

 

บ่นๆแบบคนแก่ลง แก่ลงเข้าไปทุกทีเนอะ..

เพื่อนๆก็มาพากันตายเพราะมะเร็งกันหลายคน..

นอนอยู่ดีๆ ตื่นมากลายเป็นอัมพาตก็มีให้เห็น

หมอนรองกระดูกมันแก่แล้ว บิดๆเบี้ยวๆทับประสาทเมื่อไรก็ไม่รู้

เบาหวานเอ่ย..หัวใจเอ่ย..ความดันเอ่ย..3 สหายมันก็เริ่มมาเยือนแล้ว

สังขารหนอ..สังขารหนอ..

 

 

     

 

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 15  « on 15/4/2555 19:55:00 IP : 58.11.101.90 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 

(ต่อ)....

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของโลกแล้ว..

เห็นการเปลี่ยนในสกลกายเราเช่นนี้แล้ว..

ใจมันก็เลยเป็นแบบที่กราบเรียนว่า มันออกจะเบื่อๆ..หมดอยาก เฉาๆ อย่างไรเสียก็ไม่รู้..ไม่ดีเลย

(หรือจะเป็นการปฏิบัติที่ผิดแนวเสียกระมัง)

สิ่งที่มีเสน่มากที่สุดในความเป็นองค์หลวงปู่ดู่ ท่านก็คือ

ความอิ่มเอบ ยิ้มแย้ม รับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาไม่มีประมาณ

องค์หลวงปู่ท่านจะนิพพานแล้วก็ดี จะเป็นองค์โพธิสัตว์ก็ดี หาใช่สาระสำคัญไม่

สำคัญที่หลวงปู่ฯท่าน มีคำสอนที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยว่ากล่าวทับถมการปฏิบัติแนวทางใด ไม่เคยหลุดคำพูดใดที่เป็นไปเพื่อความแบ่งแยก (คนดีไม่ตีใคร)

คุณพรสิทธิ์ เป็นผู้มีความรู้มาก ทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถนำคำพูดทางธรรมที่บางครั้งยากแก่การเข้าใจ มาแปลเป็นอักขระที่สละสลวย สวยงาม อ่านแล้วเรื่องยากสามารถทำให้เป็นเรื่องง่าย

การนำข้อธรรมคำสอนของหลวงปู่ดู่ มาขยายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ถูกทาง นับว่าเป็นมหากุศลยิ่ง ทำให้คนไม่รู้ไม่เข้าใจ สามารถเข้าใจอะไรที่ถูกต้องมากขึ้น ทั้งยังเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกแนว ไม่ผิดเพี้ยน นับว่าทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนามาก

ผมขออนุโมทนาด้วยเป็นยิ่งครับ

 

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
ธุลีดิน

Posts: 0 topics
Joined: 17/5/2554

ความคิดเห็นที่ 16  « on 15/4/2555 19:55:00 IP : 58.11.101.90 »   
Re: คติธรรมหลวงปู่ทา พระที่น่าเคารพ
 

(ต่อ)....

เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของโลกแล้ว..

เห็นการเปลี่ยนในสกลกายเราเช่นนี้แล้ว..

ใจมันก็เลยเป็นแบบที่กราบเรียนว่า มันออกจะเบื่อๆ..หมดอยาก เฉาๆ อย่างไรเสียก็ไม่รู้..ไม่ดีเลย

(หรือจะเป็นการปฏิบัติที่ผิดแนวเสียกระมัง)

สิ่งที่มีเสน่มากที่สุดในความเป็นองค์หลวงปู่ดู่ ท่านก็คือ

ความอิ่มเอบ ยิ้มแย้ม รับรู้ได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาไม่มีประมาณ

องค์หลวงปู่ท่านจะนิพพานแล้วก็ดี จะเป็นองค์โพธิสัตว์ก็ดี หาใช่สาระสำคัญไม่

สำคัญที่หลวงปู่ฯท่าน มีคำสอนที่เรียบง่าย เข้าใจง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เคยว่ากล่าวทับถมการปฏิบัติแนวทางใด ไม่เคยหลุดคำพูดใดที่เป็นไปเพื่อความแบ่งแยก (คนดีไม่ตีใคร)

คุณพรสิทธิ์ เป็นผู้มีความรู้มาก ทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถนำคำพูดทางธรรมที่บางครั้งยากแก่การเข้าใจ มาแปลเป็นอักขระที่สละสลวย สวยงาม อ่านแล้วเรื่องยากสามารถทำให้เป็นเรื่องง่าย

การนำข้อธรรมคำสอนของหลวงปู่ดู่ มาขยายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ถูกทาง นับว่าเป็นมหากุศลยิ่ง ทำให้คนไม่รู้ไม่เข้าใจ สามารถเข้าใจอะไรที่ถูกต้องมากขึ้น ทั้งยังเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกแนว ไม่ผิดเพี้ยน นับว่าทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนามาก

ผมขออนุโมทนาด้วยเป็นยิ่งครับ

 

 

 

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share
 
<
1
2
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ
»
คลิ๊กที่นี่
   Main webboard   »   ธรรมะทั่วไป
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  



Online: 3 Visits: 16,694,630 Today: 1,565 PageView/Month: 76,233