เรียนพี่สิทธิ์และคุณชาย กราบขอบพระคุณครับที่เมตตาให้เกียรติออกนามในการร่วมสนทนาด้วย เรื่องผ้าเฉวียงบ่าหรือผ้าพาดบ่านี้มีที่มาทั้งสองทางครับ คือทั้งทางพราหมณ์และทางพุทธ หากจุดเริ่มต้นจริง ๆ แล้วย่อมมาจากศาสนาพราหมณ์หรือที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์มีมานานกว่า ๔ พันปี มีพิธีกรรม วัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างเหนียวแน่นยาวนาน สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักคือ ในศาสนาพราหมณ์ถือกันว่าผู้จะเป็นพราหมณ์ได้ต้องสืบจากสายเลือด จะบวชเป็นพราหมณ์ได้ก็ต้องสืบจากสายเลือดเท่านั้น และเมื่อผู้ใดบวช ก็จะได้รับสายสิญจน์เส้นหนึ่งสำหรับพาด "เฉวียงบ่า" เป็นสัญลักษณ์ว่า ผู้นั้นสามารถประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ได้แล้ว สายสิญจน์เส้นนั้นมีชื่อเรียกเป็นการเฉพาะว่า สาย "ยัชโญปวีต" แต่ในบางครั้งก็เรียกว่า "สายธุรำ" ครั้งแรกที่สายยัชโญปวีตนี้ถูกนำมาใช้ในวรรณะพราหมณ์ ภายหลังก็ยังแพร่หลายออกไปสู่วรรณะกษัริย์ แต่ด้วยวรรณะกษัตริย์เป็นวรรณะใหญ่ มีความมั่งคั่งและมีอำนาจมาก สายยัชโญปวีตก็ถูกแปรรูปเป็นสายธุรำทองคำเฉวียงบ่าอันเป็นเครื่องประดับชั้นสูง แม้ในรูปเคารพของ "พรหม" ในศาสนาพราหมณ์ทั้งหลาย ก็ยังมีสายยัชโญปวีตหรือสายธุรำปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ และเหตุที่วรรณะพราหมณ์นำมาใช้กับตนเอง ก็ด้วยความเชื่อที่ว่า วรรณะของตนนั้นถือกำเนิดออกมาจาก "พระโอษฐ์" ของพรหมนั่นเอง ต่อมาเมื่อศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธเข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ศาสนาทั้งสองก็ถูกผสมผสานเข้ากันอย่างยากจะแยกออก การพรมน้ำมนต์ก็ดี การตั้งศาลพระภูมิก็ดี การใช้สายสิญจน์ในพิธีการต่าง ๆ ก็ดี และการปลุกเสกเลขยันต์ลงอักขระสร้างพระเครื่องนั้น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์ทัั้งสิ้น สายธุรำอันเป็นสัญลักษณ์ของพราหมณ์สำหรับแสดงความบรรลุนิติภาวะในการประกอบพิธีกรรม จึงถูกนำมาประยุกต์เข้ากับชาวพุทธ ที่เมื่อจะประกอบพิธีกรรมสำคัญอะไรก็ต้องมีผ้าเฉวียงบ่าเพื่อเป็นเครื่องหมายบอกว่า ฉันจะประกอบพิธีแล้วนะ จะเข้าสู่พิธีกรรมสำคัญแล้วนะ เช่น การลงทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น การทอดผ้ากฐิน ถวายผ้าป่า พิธีกรรมวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา เป็นต้น ดังนั้น เราจึงได้เห็นอุบาสกและอุบาสิกา ทายกและทายิกาทั้งหลายได้ใช้ผ้าเฉวียงบ่านี้เพื่อประโยชน์ในการประกอบพิธี และแสดงถึง "ขณะ" แห่งความเป็นงานเป็นการในการรักษาศีลภาวนา สำหรับอุบาสิกาหรือสตรีผู้ถือบวชศีลแปดในสมัยก่อนที่ยังไม่มากด้วยความเจริญ ล้วนยังขาดเครื่องห่มกายที่มิดชิด เสื้อทอเองก็ยังบางเบาไม่ปกปิดดีพอ ยังได้ถือเอาผ้าเฉวียงบ่านี้เป็นเครื่องห่มคลุมกายภายนอกที่ช่วยเพิ่มความมิดชิด ช่วยปกปิดอวัยวะอันยั่วความละอายได้เป็นอย่างดี ผ้าเฉวียงบ่าจึงกลายเป็นของคู่มือเหล่าอุบาสิกามาตราบจนทุกวันนี้ สรุปคือ ผ้าเฉวียงบ่าสำหรับอุบาสกชาย ใช้เพื่อการแสดง "ขณะ" หรือ "วาระ" ที่จะประกอบพิธีกรรม ในขณะที่อุบาสิกาหญิงก็ใช้เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน แต่ยังได้ประโยชน์ในการห่มคลุมเพิ่มเข้ามาอีก จึงมักเฉวียงบ่าโดยลักษณาการที่คลี่ออกเป็นผืนใหญ่ปกกาย มากกว่าที่จะพับเป็นผืนน้อยหรือรวบเข้าด้วยกันแล้วเฉวียงแบบง่าย ๆ อย่างอุบาสกชาย |