พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ชยสาโร
ในการปฏิบัติ ท่านให้มีหลักว่า " รีบช้า " รีบปฏิบัติแต่อย่าใจร้อน ปฏิบัติอย่างรีบๆ ก็ไม่ได้ ... ช้าๆ ก็ไม่ได้
ท่านจึงให้เรารีบช้าๆ รีบด้วยสติปัญญา ด้วยความสุขุมรอบคอบ หรืออย่างพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ทุกอย่าง สงบก็รู้ว่าสงบ ไม่สงบก็รู้ว่าไม่สงบ ถ้าหากเรารู้ตัวตลอดเวลา ถือได้ว่าเรากำลังอยู่บนทางสายกลาง
สงบแล้วหลง หมายความว่า ได้เฉออกนอกทาง อย่างเช่น วันหนึ่งนั่งสมาธิ จิตสงบ นั่งนานเป็นชั่วโมงไม่ปวดไม่เมื่อยเลย วันหลังครุ่นคิด ทำยังไงหนอจิตจะได้สงบเหมือนครั้งก่อน อย่างนี้ถลำไปแล้ว สงบยาก อยากให้เหมือนก็ไม่เหมือน ไม่สงบแล้วก็รำคาญตนเอง หงุดหงิด นั้นคือการไม่ยอบรับความจริงว่าเป็นอย่างไร
ให้เราปฏิบัติต่อภาวะอันนั้นด้วยสติปัญญา เมื่อเราไม่อยู่กับความจริง ความทุกข์จะเกิดขึ้น อยากได้นั่น อยากได้นี่ คือไม่ได้อยู่กับความจริงในปัจจุบัน อยากหนีความจริงไปหาอะไรที่สนุกกว่านี้ ที่ดีกว่านี้ นั่นเป็นอาการของตัณหา
ท่านจึงให้ “ รีบช้าๆ ” ต้องรีบเพราะชีวิตของเรามันสั้นเหลือเกิน แต่ต้องช้าๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะพลาดพลั้งหรือหลงทาง
ตรอกซอยมีเยอะ โอกาสหลงทางมันมีมาก ต้องค่อยๆ ดู ค่อยๆ ศึกษาไปเรื่อยๆ ความสุขที่สูงสุด ความสุขที่แท้จริงมันเป็นอย่างไรเราเจอหรือยัง...?
ความสุขที่เกิดจากสมาธิก็ยังไม่ใช่ ยังมีโอกาสที่จะเสื่อมเพราะยังอาศัยสิ่งแวดล้อมอยู่พอสมควร ความสุขที่แท้จริง เกิดจากปัญญาที่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ เห็นกายและใจนี้ตามความเป็นจริง ว่าเป็นกระแสธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ ถ้ายึดติดแล้วอันตราย..
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้สัมผัสไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้นเอง
เมื่อจิตใจสงบแล้วมันจะไวต่อ “ความธรรมดาของธรรมชาติ” มาก ถึงไม่ตั้งใจเจริญวิปัสสนา จิตใจมันพร้อมจะรับรู้ พร้อมที่จะดู และพร้อมที่จะพิจารณาเข้าไปถึงความจริง ...ได้สัมผัสความไม่เที่ยงนี้โดยตรงและยังประจักษ์ในเรื่องความทุกข์ด้วยว่า
สิ่งที่ไม่เที่ยงยอมขาดเสถียรภาพไม่พ้นภัย นี่คือ ทุกขลักษณะโดยทั่วไป สิ่งที่ไม่ถาวรไม่สามารถที่จะให้ความสุขที่ถาวรแก่เราได้ ยึดติดขณะใดก็ทุกข์ในขณะนั้น นี่คือทุกข์ในความหมายของอริยสัจ มันก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นในจิตของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ |