มีครอบครัวลูกศิษย์หลวงปู่ครอบครัวหนึ่ง ฐานะไม่สู้จะดีนัก แต่สามี-ภรรยารักการภาวนาด้วยกันทั้งคู่
ต่อมาฝ่ายภรรยาตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด เกิดความวิตกกังวลมากเพราะกลัวการผ่าตัด เนื่องจากเคยได้ทราบข่าวว่าญาติสนิทที่ต่างจังหวัดตายขณะรับการผ่าตัดทำคลอด ประกอบกับไม่อยากเสียทรัพย์ไปกับการที่ต้องผ่าตัด
ฝ่ายสามีได้หาโอกาสมาขอบารมีหลวงปู่ ก่อนกลับหลวงปู่จึงพูดว่า "ข้าฝากน้ำมนต์กับกล้วยไปให้พวกบ้านแกด้วย" (หลวงปู่ใช้คำว่า "พวกบ้าน" แทนคำว่า "แม่บ้าน") พร้อมกับส่งกล้วยให้ครึ่งหวี แล้วให้เขาเอาขวดไปตักน้ำมนต์
ด้วยบารมีหลวงปู่ แม่บ้านคนนั้นคลอดออกมาโดยง่าย ไม่ต้องผ่าตัดแต่อย่างใด แต่ที่ดูผิดปรกติก็คือ เด็กทารกเพศหญิงนั้นมีศีรษะโหนกทุย และมีจมูกใหญ่มาก จนเมื่อโตขึ้นก็ถูกเพื่อนนักเรียนพูดล้อเลียนว่าเหมือนช้างอยู่เป็นประจำ
สาวน้อยผู้นี้เป็นเด็กแปลก เมื่อคราวคุณพ่อคุณแม่พาไปกราบหลวงปู่ทวดที่สถูปวัดช้างไห้ หนูน้อยผู้นี้ได้ทำท่าพูดจาและพยักหน้ากับช้าง (ปูนปั้น) ที่ตั้งอยู่ทางขวาของเขา (ทางซ้ายของสถูป) จนพ่อแม่ตกใจ
และในขณะที่เด็กเล็กส่วนใหญ่เมื่อเห็นช้าง จะพากันวิ่งหนีร้องไห้ แต่เด็กคนนี้กลับวิ่งเข้าหา ชอบลูบไล้ช้างบริเวณงวงช้างอยู่เป็นนานสองนาน และมักบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าอยากเอาช้างที่เดินเร่ร่อนมาเลี้ยงที่บ้านเพราะความสงสาร
ต่อมา โรงงานที่คุณพ่อคุณแม่เธอทำงานอยู่ เลิกจ้างพนักงานที่มีอายุมาก ทำให้คุณพ่อคุณแม่เธอต้องกลายเป็นคนว่างงาน และมองไม่เห็นหนทางไปสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่
เด็กคนนี้กลับเป็นผู้ให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ว่า "อย่าทุกข์ใจไปเลย บ้านเราก็ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร เราอยู่อย่างพอเพียงของเราก็ได้ อีกหน่อยเราจะทำมาหากินที่บ้านเราเอง" (ต่อมาได้มีการปรับปรุงบ้านเป็นร้านอาหารขึ้นมาจริง ๆ)
ช้างน้อย เอ๊ยเด็กน้อยผู้นี้โตขึ้น ศีรษะที่เคยโหนกทุยและจมูกที่เคยใหญ่โต ก็กลับค่อย ๆ คลายลงไป จนมีลักษณะปรกติเหมือนคนทั่วไป แถมยังเป็นวัยรุ่นที่น่ารัก ประกอบกับมีจิตใจที่รักในหลวงมาก ๆ
ครอบครัวนี้ อาศัยบ้าน อาศัยห้องพระ เป็นที่ภาวนา เพราะหลวงปู่เคยเอ่ยปากรับรองว่าท่าน (กำหนดจิต) มาเยี่ยมและครอบวิมานให้แล้ว
การปรุงอาหารขายของสองสามีภรรยาก็ไม่เหมือนใคร เพราะจะหยิบตักเครื่องปรุงอะไรก็ต้องบริกรรมภาวนาตลอด ตั้งความปราถนาแต่จะให้ผู้มารับประทานเกิดความอิ่มอร่อยและสุขภาพดียิ่งกว่าเรื่องราคาของอาหาร
แม้เขาจะไม่มีปัจจัยที่จะเดินทางไปกราบพระที่ไหน ๆ หรือทำบุญทำทานได้อย่างคนทั่วไป แต่เขาก็ได้ปฏิบัติธรรมอยู่กับการงานเฉพาะหน้าของเขาตามประสาพ่อ แม่ ลูก ด้วยความสุข (จนหลาย ๆ คนต้องแอบอิจฉา)
ผู้เป็นพ่อบ้านเล่าให้ผมฟังว่า มีลูกค้าคนหนึ่ง เป็นนักศึกษาทันตแพทย์ มารับประทานอาหารที่ร้านประจำ และก็มีศรัทธาอยากได้วัตถุมงคลของหลวงปู่อย่างมาก (คงสังเกตเห็นคุณลุงท่านนี้ใส่แหวนหลวงปู่อยู่ตลอด) ผ่านไปราว ๑ ปี คุณลุงเจ้าของร้านผู้นี้ จึงเรียกให้เขาเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็หยิบพระหลวงปู่มอบให้ ทำเอานักศึกษาผู้นี้ดีใจร้องไห้ ก้มลงกราบขอบพระคุณคุณลุงผู้มีเมตตา
คุณลุงท่านนี้กล่าวยืนยันตามคำหลวงปู่ว่า "พระของข้า ต่อเมื่อละลายเป็นน้ำ หรือ (เหลือเป็นชิ้นเล็กขนาด) ลอดรูเข็มได้เท่านั้น จึงจะเสื่อม ...ลอดราวผ้า อะไร ๆ ก็ไม่มีเสื่อม"
และพูดอ้างคำหลวงปู่ซึ่งเป็นประโยคเดียวกันกับที่ผมและคุณเมธาได้ยินหลายครั้งว่า "พระของข้า ใครเอาไปซื้อขาย จะไม่เจริญ" บางคราวท่านก็กล่าวหนัก ๆ ว่า "ใครขายพระข้า จะฉิบหาย" เพราะท่านไม่ปรารถนาให้ใคร ๆ เห็นวัตถุมงคลที่ท่านสร้างด้วยความเคารพศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างสุดซึ้งต้องมาเป็นสินค้า
เอ...ว่าจะพูดเล่าเรื่องช้างที่หลวงปู่ส่งมาเกิด (ตามความเชื่อของคุณลุงคุณป้า) บานปลายไปหลายเรื่องหลายประเด็น
เขียนเล่าไปเรื่อย อาจมีข้อความไม่สละสลวยหรือขาดความต่อเนื่องก็ต้องขออภัยครับ
เล่าไว้ บันทึกไว้ เผื่อจะเป็นเครื่องเจริญศรัทธาและเป็นคติแง่คิดที่อาจเกิดประโยชน์กับบางท่านตามสมควร |