วันก่อนได้เล่าตัวอย่างของลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นตัวอย่างที่ใช่ แต่วันนี้ขอเล่าตัวอย่างที่เรียกว่า "ไม่ใช่" บ้าง
แรงบันดาลใจที่ทำให้ต้องเขียนเล่ากระทู้นี้ก็เพราะความสะเทือนใจเป็นครั้งที่สองกับคำทักของท่านเจ้าคุณฯ ท่านหนึ่งที่อยู่ทางเหนือ เพราะเหตุที่ท่านรู้ว่าผมเป็นผู้มีศรัทธาในหลวงปู่ดู่และมีส่วนร่วมในการจัดพิมพ์เผยแพร่คำสอนของหลวงปู่ ท่านจึงปรารภให้ฟังว่า
"อาตมาเห็นคณะศิษย์หลวงปู่ที่อยู่ทางเหนือ เขาไปที่ไหนเขาจะสวดแต่นะโมพุทธายะฯ ...บททำวัตร บทสวดธรรมจักรอะไรนี่ เขาไม่เอาเลยนะ เขาจะสวดแต่บทที่เขาเรียกว่าบทจักรพรรดิ ...ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่เขาแยกไม่ออกหรือว่าอะไรเป็นธรรมส่วนตัว อะไรเป็นธรรมทั่วไป แล้วไปไหนก็ต้องมีเอกลักษณ์ห้อยประคำออกมาข้างนอก"
นี่ผมฟังคำพูดทำนองนี้จากท่านเป็นครั้งที่สองแล้ว ทั้ง ๆ ที่นาน ๆ จะได้พบท่านสักครั้งหนึ่ง
อยากจะบอกเหลือเกินว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่เสื่อมเสียมาถึงหลวงปู่ (ซึ่งคนที่ทำอย่างนั้นคงคิดว่ากำลังทำเพื่อสืบทอดปฏิปทาและทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาต่อหลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง)
ความตั้งใจในการภาวนานั้น ไม่ใช่ตัวสร้างความเสื่อมเสีย แต่ตัวที่สร้างความเสื่อมเสียคือการที่ไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่รู้จักว่าอะไรเป็น "ธรรมส่วนบุคคล" อะไรเป็น "สาธารณธรรม"
ผมเคยพบพระชาวมาเลเซียท่านหนึ่ง ท่านเป็นบุตรชายคนเดียวของสุลต่าน และเมื่อมาศรัทธาอุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่เมืองไทย ท่านธุดงค์ไปไหนต่อไหน บางครั้งก็ไปพักตามวัดในชนบท ท่านว่าท่านสามารถสวดมนต์กลมกลืนไปกับเขาได้หมด บางวัดเขานิยมสวดช้า ท่านก็ปรับตัวสวดช้า ๆ ตามไปได้ บางวัดเขาสวดเร็ว ท่านก็สวดเร็วตามกันไปได้ ท่านไม่เคยคิดที่จะเอาแบบที่ตัวเองชอบหรือตัวเองถนัด ไปปฏิบัติให้เกิดเป็นความแปลกแยกกับหมู่คณะที่ท่านไปอยู่ร่วมด้วยเลย ดังนั้น ท่านไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่ไปสร้างความแปลกแยกหรือไปสร้างปัญหาให้เกิดความไม่พร้อมเพรียง
นี่ขนาดพระต่างชาติท่านยังรู้จักแยกแยะว่าอะไรคือ "ธรรมส่วนบุคคล" อะไรคือ "สาธารณธรรม"
แล้วลูกศิษย์หลวงปู่จะแยกแยะไม่ออกเชียวหรือ แนวปฏิบัติใดที่ไม่เข้ากับหมู่ใหญ่ เราควรเอามาใช้เมื่อเราอยู่ลำพัง หรือให้เป็นเรื่องภายในของเรา
แต่ที่สำคัญ การทำเช่นนั้น ก็ไม่ใช่ปฏิปทาของหลวงปู่เลย หลวงปู่ไม่เคยพาทำอย่างนั้น หลวงปู่ไม่เคยสอนให้ศิษย์เน้นสวดมนต์เป็นล่ำเป็นสัน หลวงปู่มีแต่ให้ลดสัดส่วนของบรรดาผู้ที่ชอบสวดมนต์ให้มาให้เวลากับการทำสมาธิภาวนาให้มากขึ้น ประจักษ์พยานบุคคลในเรื่องนี้ก็มีอยู่มากมาย ดังคำสอนเตือนที่ว่า "สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน" เพื่อจะบอกว่าเราควรให้เวลากับยากินคือการทำสมาธิภาวนา เพราะให้ผลเต็มที่มากกว่า
การที่ลูกศิษย์หลวงปู่บางคณะพยายามสร้างเอกลักษณ์ในแนวปฏิบัติเฉพาะตัว ก็ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ไม่ควรไปสร้างความไขว้เขวว่านั่นเป็นปฏิปทาของหลวงปู่ดู่ ...ผู้รู้มีอยู่ คนที่รู้จักปฏิปทาของหลวงปู่ดู่ที่ยังมีชีวิตก็ยังมีอยู่มาก
ถ้ากล่าวถึงภาพใหญ่ พระพุทธศาสนาย่อมเสื่อมไปเพราะพุทธบริษัท ๔ และเมื่อกล่าวถึงภาพย่อยคำสอนและปฏิปทาของหลวงปู่ดู่ ก็ย่อมเสื่อมไปเพราะบรรดาผู้ที่ประกาศตนเป็นลูกศิษย์ แต่ทว่าทำและเผยแพร่สิ่งที่ "ไม่ใช่"
เขารู้หรือไม่ว่า หลวงปู่ไม่เคยสร้างแบบฉบับหรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพราะอะไร เพราะท่านเคารพพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในสังฆะโดยรวม
หลวงปู่สอนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนอยู่แล้ว วางแบบไว้แล้ว ...เราควรจับหลักตรงนี้ให้ได้ก่อนเป็นเบื้องต้น
เรื่องคำบริกรรมไตรสรณคมน์นั้นเป็นเรื่องปลีกย่อย เพราะลูกศิษย์หลวงปู่มั่นโดยมาก เขาก็นิยมบริกรรมไตรสรณคมณ์ในรอบแรก จากนั้นจึงเหลือแต่ "พุทโธ ๆ"
ประกอบกับคนที่คุ้นเคยกับการบริกรรมภาวนาอย่างใดมา หลวงปู่ท่านก็ให้บริกรรมอย่างเดิม ดังนั้น การบริกรรมไตรสรณคมน์จึงไม่อาจนำมากล่าวว่าหลวงปู่พยายามสร้างเอกลักษณ์เฉพาะแต่อย่างใด
สมัยก่อน ลูกศิษย์หลวงปู่ที่ชอบนับประคำก็มีอยู่บ้าง แต่เขาก็ทำที่ห้องพระที่บ้าน ไม่ใช่ไปทำให้แปลกแยกกับสังคมปฏิบัติข้างนอก หรือแม้แต่ที่วัดสะแกเอง ก็ยังไม่ทำกันเลย นี่เพราะว่ารู้จักแยกแยะ "ธรรมส่วนบุคคล" กับ "สาธารณธรรม"
เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ "ผู้ไม่รู้" แต่มีศรัทธาในหลวงปู่ กำลังทำสิ่งที่เรียกว่าทำลายหรือสร้างความเสื่อมให้เกิดขึ้นในคำสอนและปฏิปทาของหลวงปู่ที่เขาเคารพรักเสียเอง
มีสิ่งหนึ่งที่จะควรพึงสังวรณ์คือ "หลวงปู่ท่านอาจสอนลูกศิษย์ไม่เหมือนกัน แต่หลวงปู่ (เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า) ย่อมไม่สอนขัดกัน" หากขัดแย้งกัน ก็พึงกลับมาศึกษาค้นคว้าว่า "อันไหนใช่ อันไหนไม่ใช่"
ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวบ้านวัดสะแก หรือที่จังหวัดไหน ๆ ที่เป็นลูกศิษย์ที่ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนหลวงปู่ที่เราจะสามารถไปศึกษาหรือสอบถามเกี่ยวกับแนวคำสอนและปฏิปทาของหลวงปู่นั้นก็ยังมีอยู่
...ผมขออภัยหากข้อเขียนนี้จะไปกระทบกระเทือนจิตใจของท่านผู้มีศรัทธาในหลวงปู่แต่กำลังทำสิ่งที่ผมเรียกว่า "ไม่ใช่" ขอได้โปรดเข้าใจว่าผมและเพื่อน ๆ ที่ร่วมกันเผยแพร่คำสอนหลวงปู่ ต่างก็ล้วนประสงค์จะมีแต่มิตร มิได้ประสงค์จะมีคนที่ไม่รักแม้แต่เพียงผู้เดียว แต่เพื่อจะรักษาความบริสุทธิ์แห่งคำสอนและแนวปฏิปทาที่หลวงปู่ท่านเคยพาทำ ผมจึงต้องเขียนกระทู้นี้เพื่อจะให้คนรุ่นหลังได้ทราบชัดและมีวินิจฉัยที่ถูกต้องถึงกรอบคำสอนและปฏิปทาของหลวงปู่ที่ท่านพาทำจริง ๆ
|