เมื่อมาลำดับเรื่องราวของหลวงปู่ดู่ตั้งแต่เมื่อแรกเข้าวัด ผมจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ผ่านศิษย์หลวงปู่หลากหลายวัย
ลูกศิษย์สูงวัย (โบราณ) ก็จะเรียกหรืออ้างถึงหลวงปู่ว่า "หลวงพี่" เช่นเรื่องราวของศิษย์สมัยเมื่อราว พ.ศ. ๒๕๐๐ เศษ ๆ (ยุคที่ผู้คนมาวัดสะแกทางเรือ) ที่ภายหลังจากรับแผ่นโลหะที่หลวงปู่จารให้ไปเป็นเนื้อชนวนสร้างพระ ก็ปรากฏว่าแผ่นโลหะบาง ๆ นั้นกลับไม่ยอมหลอมละลาย จนเขาต้องพายเรือกลับมาวัดสะแกอีกครั้งเพื่อแจ้งปัญหากับว่า "หลวงพี่ดู่ครับ แผ่นเนื้อชนวนของหลวงพี่มันไม่ยอมละลายครับ กวนเท่าไร ๆ มันก็ไม่ยอมละลาย" หลวงปู่ท่านรับทราบแล้วก็ให้เขากลับไปใหม่อีกครั้ง ก็ปรากฏว่าแผ่นโลหะนั้นก็หลอมละลายโดยง่ายดาย
บางคนก็ได้รับการอบรมจากท่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น คนที่จะไปหาปลาหากุ้ง หลวงปู่ท่านก็ให้เขาสมาทานศีลก่อน แต่เขาแย้งว่ามันเป็นอาชีพของเขา เดี๋ยวเขาก็ต้องไปหาปลาหากุ้งตามประสาของเขาแล้ว รับศีลไปจะมีประโยชน์อะไร หลวงปู่ท่านก็ให้เหตุผลว่ายังไงตอนนี้ (ซึ่งยังไม่ได้ทำบาป) ก็ให้มีศีลไว้ก่อน เผื่อเกิดไปตายเสียระหว่างทาง เช่น ไปโดนอสรพิษกัดตาย ก็จะได้ตายขณะมีศีล ชาวบ้านคนนั้นฟังคำหลวงปู่แล้วก็อึ้งและเห็นดีเห็นงามทำตามหลวงปู่ (หลวงพี่) สอน (ซึ่งเรื่องนี้ผมก็ได้เอาไปแทรกเป็นเกร็ดประวัติหลวงปู่ตั้งแต่เมื่อคราวทำหนังสือพระผู้จุดประทีปในดวงใจ)
ต่อจากยุคหลวงพี่ก็มาถึงยุคหลวงพ่อ คือในราวปี ๒๕๒๕ ที่เริ่มมีคนกรุงเทพฯ เดินทางมาทางถนน (แทนทางเรือ) แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ ๘๐ แต่ด้วยความผ่องใสของท่าน ทุกคนจึงพอใจนิยมเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" สัดส่วนการสอนธรรมะก็เริ่มมากขึ้น แต่ปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ก็ยังปรากฏเป็นปรกติ ไม่เฉพาะภายในประเทศไทยนี้ หากแต่ไปไกลถึงสิงคโปร์ ดังตัวอย่างลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ที่ไปธุระที่นั่น ด้วยความที่อยู่ในย่านที่ห่างจากตัวเมืองออกไปมาก ดังนั้น เมื่อเสร็จธุระจะหารถ Taxi เพื่อไปส่งสนามบิน ปรากฏหาไม่ได้เลย เขายืนข้างถนนมองหารถ Taxi อยู่เป็นเวลาราวชั่วโมงครึ่งก็ยังไม่เห็นรถผ่านมาสักคัน จนจวนเจียนจะตกเครื่องบิน หมดหนทางแล้วจึงเอาพระหลวงปู่ที่ห้อยคอมาอธิษฐานขอให้มี Taxi ผ่านมาโดยเร็วด้วยเถิด ปรากฏไม่ถึง ๕ นาที ก็มี Taxi มา ที่แปลกกว่านั้นก็คือเป็น Taxi ที่วิ่งอยู่คนละฟากถนน ก็ยังอุตส่าห์ u-turn กลับมารับ
ย้อนกลับมาเรื่องหลวงพี่และหลวงพ่อต่อ (ก่อนจะเลยเถิดไปไกล) ในยุคที่หลวงปู่เป็นหลวงพ่อ พระวัดสะแกรูปอื่น ๆ ที่เป็นศิษย์และมีอายุน้อยกว่าท่าน ก็มักถูกเรียกว่า "หลวงน้า" เช่น หลวงน้าสายหยุด หลวงน้าลำไย และหลวงน้าดำ เป็นต้น ซึ่งก็ฟังน่ารัก เป็นไทย ๆ และดูใกล้ชิดดี ซึ่งหลวงน้าหนึ่งในนั้นก็มีประสบการณ์การดั้นด้นไปกราบพระมหาวีระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) แล้วถูกอบรมกลับมาว่า อย่าข้ามครูบาอาจารย์ที่อยู่ใกล้ตัว คือหลวงพ่อดู่ เพราะท่านเป็นพระที่มีคุณธรรมสูง ให้กลับไปขอขมาท่านเสีย หลวงน้าท่านนั้นจึงกลับมา พร้อมกับยกหลวงพ่อไว้ในฐานะเสมือนเป็นพ่อ แล้วให้พระมหาวีระเป็นเหมือนแม่
ก๊อก ๆ กลับมาเรื่อง "หลวงพ่อ" ต่อ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในยุคก่อน ๒๕๓๐ นิยมเรียกหลวงปู่ว่าหลวงพ่อ แต่สำหรับลุงยวงซึ่งเป็นหลานหลวงปู่ ก็จะเรียกตามความสัมพันธ์กับท่านว่า "หลวงลุง" ทำให้คนใกล้ชิดลุงยวง พากันเรียกท่านว่าหลวงลุงตามไปด้วย
เมื่อถึงปี ๒๕๓๒ ด้วยวัย ๘๕ ปี สังขารขันธ์ของหลวงปู่เริ่มร่วงโรย ลูกศิษย์หลายคนก็เริ่มจูงลูกจูงหลานมากราบท่านมากขึ้น ในช่วงท้ายนี้ผู้คนจึงเริ่มเรียกท่านว่า "หลวงปู่" มากขึ้น
สังขารขันธ์ของหลวงปู่ที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นดังที่หลวงปู่เคยกล่าวให้แง่คิดกับศิษย์ว่า "แกวันนี้ กับแกเมื่อวานก็ไม่เหมือนเก่า ...แกวันก่อนมันตายไปแล้ว" หลวงปู่ท่านเมตตาต่อทุกคนที่จะมาเอาธรรม หรืออย่างน้อยมีแววที่ท่านอาจให้ยึดโยงจากวัตถุมงคลหรือเรื่องปาฏิหาริย์มาสู่ธรรมในภายหน้าได้ แต่อย่างที่ว่า ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่นั้นชัดเจนมาก ๆ ว่า มิได้เป็นไปเพื่อความหลง คือ มิได้เป็นไปเพื่อให้หลงเสียทรัพย์ไปกับพิธีกรรมต่าง ๆ หรือลุ่มหลงจมปรักหรือจิตฟูฟุ้งไปกับปาฏิหาริย์ หากแต่เป็นปาฏิหาริย์ชนิด "พระท่านทำให้เชื่อ" ทั้งสิ้น เมื่อเชื่อคุณพระพุทธฯ ก็เท่ากับว่าลดความลังเลสงสัยในการที่จะน้อมนำธรรมะมาปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง ว่าจะเกิดผลดีแก่ตัวเองจริง ๆ
มาบัดนี้ ยังมีคนบางกลุ่มเอาแต่เรื่องพิธีกรรม แล้วอ้างว่าหลวงปู่พาทำ แถมยังบอกว่าเป็นเรื่องทางปัญญา ก็ไม่รู้ว่าเป็นปัญญาพาตัวเองให้ได้ตนเป็นที่พึ่งแก่ตัวอย่างไร นอกจากพาตัวเองให้ต้องขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ หรือขึ้นกับความวาดฝันในอานิสงส์สุดคณนาจากพิธีกรรมเหล่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นช่องทางหาทรัพย์ทั้งเงินทองและอสังหาริมทรัพย์บนศรัทธาของผู้ไม่รู้ทันเท่านั้น
จากหลวงพี่สู่หลวงพ่อ กระทั่งมาเป็นหลวงปู่ คุณความดีที่ท่านสร้างไว้นั้นมากมาย แค่ทำให้คนหยาบคนพาลคนหนึ่งมาเป็นกัลยาณชนก็มีอานิสงส์มากมายเหลือประมาณ เพราะเท่ากับทำภพชาติของคนหลงให้สั้นเข้า ทุกข์และน้ำตาที่ต้องทิ้งไว้กับโลกก็น้อยลง ทำอย่างไรหนอ ปฏิปทาและคำสอนอันบริสุทธิ์ของหลวงปู่จะถูกเล่าขานออกไปอย่างไม่รู้จบ เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก
|