เรื่องความดื้อนี่ เข้าใจว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ คงต้องมีกันบ้างไม่มากก็น้อย
สมัยที่หลวงปู่ยังหนุ่ม หลวงปู่มีศิษย์ในความสงเคราะห์เลี้ยงดู (ชนิดอยู่ประจำที่วัด) ที่เด่นชัดก็เห็นจะเป็นลุงแกละ (ปัจจุบันเสียแล้ว) ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ลุงแกละจากไปตั้งแต่ลุงแกละยังเล็ก ๆ มีคนแนะนำให้มาอาศัยอยู่กับหลวงปู่
ลุงแกละเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ตอนหนุ่ม ๆ นี่ดุเอาการ ขนาดลุงแอบหนีไปเที่ยว กลับเข้าวัดกลางคืน หลวงปู่จับได้ โดนตีซะหลายที แต่ด้วยความดื้อ จึงไม่ค่อยจะหลาบจำ
สมัยนั้น หลวงปู่ท่านตั้งใจสอนหนังสือให้ด้วยตนเอง ทั้งลุงแกละและเด็กวัดคนอื่น ๆ ทั้งการเขียนหนังสือและการคิดเลข ฯลฯ ซึ่งก็เป็นแบบไทย ๆ ในยุคนั้น ที่วัดคือศูนย์กลางการศึกษา
พอมาในยุคที่มีผู้เริ่มรับธรรมได้ ศิษย์ดื้อก็ต้องปะปนอยู่เป็นธรรมดา ท่านสอนว่าอย่า ก็จะทำ ท่านสอนให้ทำก็ไม่ค่อยจะทำ
เป็นต้นว่า ท่านว่าห้ามไปสำนักทรง ศิษย์ดื้อก็แอบไปเพราะอยากรู้อยากเห็น จนบางทีถึงขนาดเสียท่าถูกของเข้าตัวผ่านอาหารและเครื่องดื่มที่นำมาเลี้ยงกัน
หลวงปู่ห้ามไม่ให้คุยเสียงดังในวัดในวา ให้สงบสำรวม ศิษย์ดื้อก็ยังพากันสนทนาเสียงดังไม่ต่างจากที่บ้าน หลวงปู่ส่งสายตาทีก็เงียบที
หลวงปู่ห้ามเรี่ยไร ศิษย์ดื้อก็ไม่หยุด เพราะชอบ และคิดว่าจะเป็นบุญใหญ่หรือเป็นหนทางให้ได้บริวารมาก ๆ (ไม่ได้ทำบุญมุ่งจาคะละกิเลสตัวตระหนี่ถี่เหนี่ยว)
หลวงปู่ไม่ชอบให้จัดมหรสพในวัด เพราะเสียงดังรบกวนการปฏิบัติสมณธรรมของพระเณร ศิษย์ดื้อก็ยังคงจัดมหรสพ เพราะทำกันมาตั้งแต่ไหน ๆ เลิกได้อย่างไร ชาวบ้านเขาชอบกัน
ฯลฯ
ในทางกลับกัน หลวงปู่ให้พากันทำความเพียรให้สม่ำเสมอ ศิษย์ดื้อก็ทำ ๆ หยุด ๆ แต่เวลาถามปัญหาธรรมะ จะถามปัญหาธรรมชั้นสูง (เพราะอ่านและจำมาได้มาก) แล้วมักถามอะไรที่ไกลตัว ไม่ใช่ปัญหาการขูดกิเลสตัวเอง
หลวงปู่แนะนำให้ไปโรงเรียนธรรมะ คือ โรงพยาบาล เพื่อดูเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้มันถึงใจ ศิษย์ดื้อก็ชอบไปดูหนังดูละครมากกว่า
หลวงปู่บอกว่าให้ทำจริง ๆ (เพื่อจะได้เห็นผล เป็นกำลังใจแก่ตนเองในการปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป) ศิษย์ดื้อก็ทำเล่น ๆ แต่อยากได้ผลจริง ๆ เมื่อไม่ทันใจก็มองหาทางลัดที่จะให้ผลมาแบบง่าย ๆ สบาย ๆ หรือไม่ก็เปลี่ยนแนวทาง เปลี่ยนครูบาอาจารย์ไปเรื่อย ๆ ปฏิบัตินิดหน่อยไม่เห็นผล ก็ว่าไม่ถูกจริต (ไม่เคยรู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านต้องทดลองปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ กันเป็นหลาย ๆ เดือน หรือเป็นปี ก่อนจะบอกว่าไม่ถูกจริต)
หลวงปู่บอกว่าพระของข้า องค์เดียวก็พอ ศิษย์ดื้อก็ห้อยพระซะเต็มคอ บางคนห้อยตั้งสองสามเส้น แถมในมือยังใส่แหวนเต็มสองมือ แทบจะเป็นแคตาล็อกแหวนเคลื่อนที่
หลวงปู่บอกว่าให้ดูความก้าวหน้าในการปฏิบัติจากโกรธ โลภ หลงที่ลดลง พร้อม ๆ กับศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่มากขึ้น ศิษย์ดื้อก็จะมุ่งแต่เรื่องการเห็นนิมิต เรื่องลึกลับที่หาพยานไม่ได้ ส่วนความศรัทธาในพระ แทนที่จะศรัทธาในเรื่องหลัก ๆ เช่น ศรัทธาเชื่อมั่นในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า กลับไปศรัทธาแบบพระเป็นเหมือนเทพเจ้า คือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบรรดาลความสำเร็จให้ เมื่อทำพระให้เป็นเทพ ก็ไม่พ้นพิธีกรรมบวงสรวงเทพ ในที่สุดก็แยกพุทธ-พรหมณ์ไม่ออก ทิ้งหลักการพุทธที่ว่าเป็นหลักพึ่งตนเอง ไม่ใช่พึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
สุดท้ายหลวงปู่บอกว่าเวลาเหลืออีกไม่มาก ให้รีบพากันปฏิบัติ ศิษย์ดื้อก็ไม่เคยนึกว่าวันพรุ่งนี้อาจเป็นวันสุดท้ายของชีวิต แม้ขณะกำลังจะตาย ก็ยังไม่คิดว่าจะต้องตายจริง ๆ
ผมขอสารภาพว่าผมก็เป็นหนึ่งในศิษย์ดื้อครับ จึงได้ไปไม่ถึงไหน |