สืบเนื่องจากการได้เห็นภาพที่ส่งมาจากศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่ง เป็นภาพการดำเนินการสร้างรูปเหมือนหลวงปู่โดยบางกลุ่มบางคณะ ซึ่งออกแบบโดยให้มีใบหน้าเป็นหลวงปู่ดู่ แต่ลำตัว และลักษณะการห่มจีวร รวมทั้งการวางท่าทาง เป็นหลวงพ่อหลวงปู่ท่านอื่น ซึ่งขัดแย้งกับ “ความเป็นหลวงปู่” ที่ศิษย์ทั้งหลายเคยรู้จัก เป็นอย่างมาก นับเป็นภาพที่น่าสลดใจ เป็นการจัดสร้างที่ขาดความรู้ความเข้าใจในองค์หลวงปู่ ที่สำคัญคือขาดความเคารพในหลวงปู่
ส่วนตัวเห็นว่า เบื้องต้นเองก็มิควรสร้างรูปเหมือนครูบาอาจารย์กันจนฟั่นเฝือ เมืองไทยนั้น ไม่เคยขาดแคลนพระพุทธรูปหรือรูปเคารพของครูบาอาจารย์เลย ที่ขาดและขาดแคลนอย่างยิ่งคือ “การปฏิบัติ” ตามคำสอนของครูบาอาจารย์ หากจะสร้างก็สมควรสร้างด้วยความรู้ความเข้าใจ และสร้างด้วยความเคารพในองค์ท่าน รวมทั้งควรมุ่งสะท้อนให้เห็น “ความเป็นท่าน” และปฏิปทาที่แท้จริงของท่าน ก็จะเป็นความงดงามและคุณค่าแห่งผลงานประติมากรรมนั้น
พูดเล่าไว้ เพื่อจะเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนให้ได้รับทราบว่าผู้ที่ศรัทธาในหลวงปู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทันได้สัมผัสท่าน เขารู้สึกสะเทือนใจ สลดใจ ที่มีผู้นำหลวงปู่ไปจัดสร้างในลักษณะดังกล่าว ซึ่งนอกจากเป็นการมองข้าม “ความเป็นหลวงปู่” แล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของหลวงปู่ให้ผู้คนเข้าใจผิด
ซึ่งหลักพิจารณาง่าย ๆ ว่าการออกแบบและการดำเนินการดังกล่าวมีความเหมาะสมหรือไม่ คือ ให้ลองคิดดูว่า หากหลวงปู่ยังมีชีวิต ท่านจะนึกอนุโมทนาหรือนึกตำหนิกับกรณีเช่นนี้ (หากเป็นลูกศิษย์ที่ทราบปฏิปทาของหลวงปู่จริง ๆ ก็ย่อมไม่กล้าแม้แต่จะคิด หรือหากคิดแล้ว ก็คงไม่กล้าไปกราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่เป็นแน่)
การสร้างพระจะมีอานิสงส์มาก ก็ต่อเมื่อเป็นเครื่องโยงจิตของผู้เคารพเข้าหาธรรม เข้าหาการปฏิบัติตนให้เป็นคนดี เพื่อให้เป็นคนที่พึ่งตนเองได้ด้วยการฝึกตน มิใช่เพียงเป็นเครื่องกล่อมจิตให้รู้สึกปลอดภัยด้วยอานุภาพของวัตถุมงคลตามที่มักมีการพรรณาให้พิสดารจนปีนเกลียวเข้าหาลัทธิเทวนิยมยิ่งกว่าพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นศาสนาแห่งปัญญาและความเพียร
หากไม่โยงเข้าหาธรรม แต่กลับโยงไปในทางโลก ๆ โยงไปหาแต่เรื่องวัตถุนิยม เช่น ความร่ำความรวย พาให้ออกห่างจากการฝึกฝนอบรมตน อานิสงส์ในทางบุญกุศลก็ย่อมไม่เกิด
คำกล่าวของหลวงปู่ที่ว่า “ติดวัตถุมงคล ก็ยังดีกว่าติดวัตถุอัปมงคล” นั้น สำหรับผู้ที่เข้าใจปฏิปทาของหลวงปู่จะทราบชัดถึงเจตนาของหลวงปู่ในข้อนี้ กล่าวคือ ถ้าบุคคลใดยังข้องเกี่ยวกับสิ่งอัปมงคล การได้อาศัยวัตถุมงคลแล้วพาให้เขาห่างจากสิ่งอัปมงคลได้ ย่อมเป็นอานิสงส์ของวัตถุมงคล วัตถุมงคลจึงเป็นเครื่องอาศัย แต่ในขณะเดียวกันหลวงปู่ก็กล่าวเตือนว่า “พระของข้า องค์เดียวก็พอ ปฏิบัติให้มันจริง” รวมทั้งกล่าวตำหนิ หากเห็นศิษย์เที่ยวเสียทรัพย์กับการเห่อเช่าสะสมวัตถุมงคล แม้จะเป็นวัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตให้กับทางวัดสะแกก็ตาม
คุณค่าที่แท้จริงของวัตถุมงคลของหลวงปู่อยู่ที่การโยงเข้าหา ”ธรรม” อันจะนำเราไปสู่ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” หากยังมัวหวังพึ่งแต่วัตถุมงคล เราก็จะเป็นนักปฏิบัติที่ไม่รู้จักโตเสียที |