(ฟิล์มต้นแบบเพื่อแกะเหรียญหลวงปู่ทวด ที่ตลาดพระพากันเรียกว่ารุ่น "เปิดโลก")
ผมจำได้ว่าเมื่อราว ๒๐ ปีมาแล้ว มีศัพท์คำหนึ่งเกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ นั่นก็คือ คำว่า "วัตถุแห่งศรัทธา"
พิจารณาดูแล้วก็เห็นว่าเป็นคำที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อย เพราะวัตถุมงคลชิ้นน้อย ๆ ที่แทบจะไม่มีต้นทุนการผลิตเลย กลับกลายเป็นวัตถุที่มีราคาในตลาดเป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้านบาทได้
อย่างเหรียญเปิดโลกเนื้อทองแดงนี่ ต้นทุนรวมค่าแกะพระอยู่ที่เหรียญละ ๒.๕๐ บาท (ซึ่งในช่วงนั้น หากไปว่าจ้างช่างรายอื่น จะมีต้นทุนเพียงประมาณ ๑ บาท)
จำได้ว่าในการทำเหรียญเปิดโลกเนื้อทองคำ ทางช่างผู้แกะพระ ไม่ต้องการวุ่นวายเรื่องจัดหาเนื้อทองคำ ดังนั้น ผู้ว่าจ้างก็ต้องจัดหาเนื้อทองคำมาเอง
ผมจึงต้องไปซื้อทองคำจากร้านทองซึ่งเป็นเพื่อนของคุณวรวิทย์ที่ย่านสามแยกไฟฉาย (ฝั่งธนบุรี) ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ซึ่งคำนวณแล้วต้องใช้ทองคำราว ๆ ๑๕๐ บาท (สำหรับการสร้างเหรียญจำนวน ๒๔๐ เหรียญ)
จำได้ว่าผมนั่งรถเมล์ไปที่ร้าน แล้วเอากระเป๋าที่สะพายมา ถามเจ้าของร้านว่า "กระเป๋าใบนี้พอใส่ทองคำ ๑๕๐ บาทไหมครับ" เขาหัวเราะใหญ่ เพราะทองคำ ๑๕๐ บาทนี่ แค่กำมือเดียว
จากนั้นผมก็ทุลักทุเลนั่งรถเมล์ต่อไปหาช่างอ๊อด ผู้แกะพระ ช่างก็จัดหามอเตอร์ไซด์รับจ้างให้ผมไปร้านรีดทองที่อยู่ไม่ไกล พอรีดเป็นแผ่น ก็เอามาให้ช่างอ๊อดปั๊มพระ จากนั้นก็ให้เอาเศษทองไปหลอมและรีดใหม่ โห กว่าจะหมดพอดิบพอดี ๒๔๐ เหรียญนี่ ผมนั่งมอเตอร์ไซต์จนหัวฟู
เหรียญนี้เดิมให้จอง (เท่าต้นทุน) ที่เหรียญละ ๒,๗๐๐ บาท แต่ภายหลังช่างบอกว่าคำนวณน้ำหนักผิดไป ต้องเป็น ๓,๔๐๐ บาท (รวมค่ากำเหน็จของช่างแล้ว) ก็เลยมีการแจ้งไปยังผู้สั่งจองกลุ่มต่าง ๆ
คุณวรวิทย์ ผม และคณะ สร้างพระโดยไม่ได้มีส่วนเกินแต่อย่างใด (จริง ๆ เหรียญเนื้อทองแดงนั้น คุณวรวิทย์จ่ายเองเกือบทั้งหมด เพราะไม่ได้ให้จอง หากแต่แจกฟรี) แต่เราก็มารู้ภายหลังว่า มีบางกลุ่มไปบอกให้จองต่อ (เหรียญเนื้อทองคำ) เหรียญละ ๑ หมื่นบาท ...เฮ่อ ลูกศิษย์หลวงปู่มาทำกันเอง
ผมก็ไม่ได้ติดตามวงการพระเครื่อง เลยไม่รู้ว่าราคาวิ่งไปถึงขนาดไหนแล้ว ทราบคร่าว ๆ จากคนที่วัดสะแก (เมื่อหลายเดือนก่อน) ว่าเนื้อทองแดงราคาเหรียญละราว ๆ ๔-๕ หมื่นบาท ส่วนเนื้อทองคำหลักแสนปลาย ๆ ใกล้ ๆ ล้านบาทเข้าไปแล้ว
ถ้าพูดถึงราคาซื้อขายในตลาดเทียบกับต้นทุนแล้ว ไม่รู้ว่าคิดเป็นกี่ร้อยกี่พันเท่า
ผมจึงได้เห็นสอดคล้องกับคนที่บัญญัติวัตถุมงคลว่าเป็น "วัตถุแห่งศรัทธา" เพราะราคากับต้นทุน มันไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง มันเป็นเรื่องของศรัทธาของคนที่มีต่อวัตถุเหล่านี้
วัตถุแห่งศรัทธา ที่มีราคาสูงลิบลิ่วนี้ ย่อมเป็นที่มาของความสุขใจของผู้ครอบครอง นี้เป็นคุณค่าชั้นที่หนึ่ง
หากได้คุ้มครองให้เจ้าของแคล้วคลาดปลอดภัยได้ ก็เป็นคุณค่าชั้นที่สอง
หากได้เป็นอนุสติ ยกจิตของเจ้าของให้ละอายต่อบาปได้ ก็เป็นคุณค่าชั้นที่สาม
หากเป็นเครื่องโยงจิตเจ้าของให้พบ "พระเก่าพระแท้" ในตัว ก็จะเป็นคุณค่าชั้นสูงสุด (ในความเห็นส่วนตัวของผม)
เล่าไว้เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่ผู้สนใจครับ |