หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน
คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป
(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)
|
|
Started by |
|
|
Topic: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ (Read: 28230 times - Reply: 20 comments) |
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้
|
« Thread Started on 26/5/2555 6:39:00 IP : 124.121.181.50 » |
|
|
|
ประมาณปี ๒๕๓๑-๒๕๓๒ ญาติโยมที่ไปกราบนมัสการ “หลวงปู่ดู่” ที่ “วัดสะแก” จะพบว่ามีขันและพานที่ใช้ในพิธีรับขันธ์ ๕ วางเรียงต่อกันหลายแถวหลายชั้นจนท่วมศีรษะ
คนจำนวนไม่น้อยที่ "เข้าพิธีรับขันธ์ ๕".. นัยว่าเป็นการเปิดรับกายทิพย์ของหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ บ้างก็อ้างว่าเป็นดวงวิญญาณบุรพกษัตริย์ไทยในอดีต หรือเทพเจ้าชั้นผู้ใหญ่ เพื่อเข้ามาคุ้มครองป้องกันภัย หรือเสริมชีวิตให้เกิดความเป็นสิริมงคล แต่แท้จริงแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านให้ทัศนะไว้ว่า
"ของหลอกลวงทั้งนั้น จะมีก็แต่วิญญาณชั้นต่ำที่มาอาศัยกินเครื่องเซ่น"
หลวงปู่สอนมาโดยตลอดที่จะให้เราฝึกฝนอบรมจิตใจให้บริบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ แล้วด้วยเหตุใดคนเราจึงพากันยินดีปฏิบัติในทางตรงกันข้าม คือทำตัวเป็นคนพร่องสติสัมปชัญญะ โดยเชื้อเชิญให้สิ่งอื่นเข้ามาครอบงำกายใจของเราได้ !
หลวงปู่ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยในแต่ละวัน ๆ กับการสงเคราะห์พวกที่เคยไปรับขันธ์แล้วเปลี่ยนใจ ต้องการเอาวิญญาณที่เรียกว่า “องค์เทพ” นั้นออกไป เพื่อคืนความเป็นไทแก่ตัว เพื่อให้ตัวเองสามารถควบคุมตนเองได้ดังเดิม มิใช่ อยู่ ๆ ก็จะร่ายรำหรือทำท่าแปลก ๆ พูดภาษาแปลก ๆ หรือมีอาการตัวสั่นงันงกออกมาโดยมิอาจต้านทานหรือยับยั้งตัวเองได้
นอกจากการแผ่เมตตาให้แก่ดวงวิญญาณที่มาสิงสู่ร่างเหล่านั้นออกไปแล้ว หลวงปู่ก็สอนให้รู้ว่าตัวผู้ (ป่วย) นั้นก็ต้องช่วยตัวเองด้วยการทำภาวนาเพิ่มสติสัมปชัญญะให้กับตัวเอง มิเช่นนั้นก็เหมือนประตูบ้านยังปิดไม่มิดชิด สิ่งแปลกปลอมก็อาจกลับเข้ามาใหม่ได้อีก
หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก เห็นกองขันที่เขาเอามาทิ้งไว้ที่วัดก็ให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแทนหลวงปู่ แล้วไหนยังจะต้องไปรับมือกับบรรดาเจ้าสำนักที่สูญเสียผลประโยชน์อีก ที่อาฆาตแค้นหลวงปู่ที่ไปทำให้เขาเสียผลประโยชน์ จึงเจตนาทำคุณไสยหลวงปู่จากหลายที่หลายสำนัก บางครั้งหลวงปู่ก็ต้องพรมน้ำมนต์ไปโดยรอบกุฏิท่าน (เพื่อปัดเป่าคุณไสยที่ส่งมาจากสำนักทรงซึ่งมีรายได้จากการครอบขันธ์หรือรับขันธ์) พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาว่า "เขาส่งของมา กะจะเอาเราให้ตาย"
บัดนี้ สิ้น “หลวงปู่ดู่” แล้ว และถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นว่าหลวงปู่ยังคงให้ความคุ้มครองดูแลศิษย์ทั้งหลายอยู่ แต่เราเองก็ต้องไม่ประมาท ต้องรีบเร่งสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นด้วยตนเอง เราไม่ควรคิดหรือมุ่งหวังที่จะพึ่งพาแต่วัตถุมงคลหลวงปู่ เพราะในช่วงที่เราขาดสติ แม้มีวัตถุมงคลใด ๆ ก็ตาม ของไม่ดีก็เข้ามาได้ง่าย ๆ สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งคือศีลที่บริสุทธิ์ นั่นคือการปฏิบัติกาย วาจา ใจ ของเราเองให้ดีงาม ทำสติสัมปชัญญะของเราให้บริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วอาศัยการเจริญเมตตาเป็นเกราะปราการ สรุปคือการเจริญภาวนาให้ได้ตลอดทุก ๆ อิริยาบถ เพื่อให้ได้หลักประกันความปลอดภัยและปลอดทุกข์ ดังที่เรียกว่า “ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม” |
|
|
|
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้
แสดงความคิดเห็น |
|
พลอยสวย |
Posts: 16 topics
Joined: 9/10/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 1 « on 27/5/2555 21:16:00 IP : 180.180.47.115 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก
รูป ก็หนัก
เวทนา ก็หนัก
สัญญา ก็หนัก
สังขาร ก็หนัก
วิญญาณ ก็หนัก
|
|
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ความคิดเห็นที่ 2 « on 28/5/2555 7:59:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
พลอยสวย Talk: |
หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก รูป ก็หนัก เวทนา ก็หนัก สัญญา ก็หนัก สังขาร ก็หนัก วิญญาณ ก็หนัก |
|
|
เป็นจริงเช่นนั้นครับคุณพลอยสวย แต่เวทนาขันธ์นี่เห็นได้ยาก โดยเฉพาะสุขเวทนา ใคร ๆ ก็ยินดีกับมัน ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระที่ต้องแบก
ด้วยความที่ใคร ๆ ก็ไม่รู้สึกว่าสุขเวทนาเป็นภาระที่ต้องแบก หลวงพ่อชาจึงกล่าวเตือนโดยอรรถว่า สุขทุกข์มีราคาเท่ากัน ...น่าคิด น่าคิด |
|
|
|
|
DRAGON |
Posts: 3 topics
Joined: 20/5/2554
|
|
ความคิดเห็นที่ 3 « on 27/5/2555 23:19:00 IP : 58.11.147.97 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
สำหรับเรื่อง"ครอบครู" ไม่ทราบว่ามีนัยเหมือนหรือต่างกับเรื่อง"รับขันธ์"อย่างไรบ้างครับ |
|
|
|
|
เพียงดิน |
Posts: 156 topics
Joined: 13/9/2553
|
|
ความคิดเห็นที่ 4 « on 28/5/2555 7:55:00 IP : 158.34.240.20 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
สิทธิ์ Talk: |
พลอยสวย Talk: |
หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก รูป ก็หนัก เวทนา ก็หนัก สัญญา ก็หนัก สังขาร ก็หนัก วิญญาณ ก็หนัก |
|
|
เป็นจริงเช่นนั้นครับคุณพลอยสวย แต่เวทนาขันธ์นี่เห็นได้ยาก โดยเฉพาะสุขเวทนา ใคร ๆ ก็ยินดีกับมัน ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระที่ต้องแบก
ด้วยความที่ใคร ๆ ก็ไม่รู้สึกว่าสุขเวทนาเป็นภาะที่ต้องแบก หลวงพ่อชาจึงกล่าวเตือนโดยอรรถว่า สุขทุกข์มีราคาเท่ากัน ...น่าคิด น่าคิด
|
|
|
...สุขทุกข์มีราคาเท่ากัน
หมายถึงว่าทั้งสุขและทุกข์ ต่างก็เป็นของไม่เที่ยง รึเปล่าคะ? |
|
|
|
|
เพียงดิน |
Posts: 156 topics
Joined: 13/9/2553
|
|
ความคิดเห็นที่ 5 « on 28/5/2555 7:55:00 IP : 158.34.240.20 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
สิทธิ์ Talk: |
พลอยสวย Talk: |
หลวงปู่สอนว่าแค่ขันธ์ ๕ ของเราก็หนักมากอยู่แล้ว ยังจะหาเรื่องไปเอาขันธ์อื่น ๆ เข้ามาแบกอีก รูป ก็หนัก เวทนา ก็หนัก สัญญา ก็หนัก สังขาร ก็หนัก วิญญาณ ก็หนัก |
|
|
เป็นจริงเช่นนั้นครับคุณพลอยสวย แต่เวทนาขันธ์นี่เห็นได้ยาก โดยเฉพาะสุขเวทนา ใคร ๆ ก็ยินดีกับมัน ไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระที่ต้องแบก
ด้วยความที่ใคร ๆ ก็ไม่รู้สึกว่าสุขเวทนาเป็นภาะที่ต้องแบก หลวงพ่อชาจึงกล่าวเตือนโดยอรรถว่า สุขทุกข์มีราคาเท่ากัน ...น่าคิด น่าคิด
|
|
|
...สุขทุกข์มีราคาเท่ากัน
หมายถึงว่าทั้งสุขและทุกข์ ต่างก็เป็นของไม่เที่ยง รึเปล่าคะ? |
|
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ความคิดเห็นที่ 6 « on 28/5/2555 8:15:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
ใช่แล้วครับ ถ้าพิจารณาในแง่การเป็น "ของไม่เที่ยง" มันก็เสมอกัน เท่ากัน ในความเป็นของไม่เที่ยง ไม่อาจคงตัวอยู่อย่างนั้นตลอดไป เป็นของที่ใคร ๆ ไม่อาจบังคับบัญชาให้มันอยู่หรือสลายไปดั่งใจปรารถนาได้
สมัยเด็ก ๆ เคยนึกว่าถ้าเราได้นั่นได้นี่มาเราคงมีความสุขมากกกกก แต่พอได้มาไม่กี่วัน ความสุข (สุขเวทนา) มันก็จางไป ๆ
เอ้า ไม่ต้องได้ของก็ได้ นึกอยากดูหนังดูละคร ก็ดูมันไป ดูแค่สองรอบก็เบื่อแล้ว ไม่เอาแล้ว
นึกอยากหาความสุขจากการนอน ลองนอนไปจนสายจนเที่ยงสิ ดูอย่างคนป่วยในโรงพยาบาลที่ต้องนอนนาน ๆ เป็นอย่างไร ทั้งปวดทั้งเมื่อย ทั้งซึมเซาไม่สดชื่นแจ่มใส
ความหมายของคำว่า "ราคาเท่ากัน" ที่ละเอียดขึ้นมาก็หมายถึงภาวะที่จิตมันเสียสมดุล เดิมอยู่อย่างปรกติเหมือนน้ำนิ่ง ๆ แต่พอมีสุขเวทนาเกิดขึ้น แล้วจิตไปหลงยึด จนฟูใจขึ้นมา น้ำ (จิต) ก็กระเพื่อม พอเจอทุกขเวทนา ก็กระเพื่อมไปอีกทางหนึ่ง ไม่ว่าจะกระเพื่อมไปทางไหน ก็มีค่าเท่ากันในความที่ "จิตมันหลงโลกหรือหลงอารมณ์" หลงยินดี หลงยินร้าย จิตทิ้งฐานที่ตั้งที่มั่นคงไปเสวยและหลงอารมณ์ จะเรียกว่าตั้งอยู่ในความประมาทก็ไม่ผิด
ครูบาอาจารย์พูดติดตลกว่า เวลาใครเขาชมก็ให้ยิ้มแค่มุมปากเดียวนะ
ถามว่าทำไมต้องยิ้มมุมปากเดียว ท่านก็เฉลยว่า เวลาเขากลับมาพูด (ด่า) ว่า เราจะได้หุบยิ้มทันยังไงล่ะ เรื่องสรรเสริญหรือนินทานี่มันไม่เที่ยง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เราจึงควรเป็นตัวของตัวเอง รักษาใจเราให้เป็นปรกติ อย่าให้มันต้องขึ้น ๆ ลง ๆ ฟู ๆ ฟุบ ๆ สงสารใจเรา ยึดในสุข มันก็มาทุบให้ใจเรากระเพื่อม ยึดในทุกข์ มันก็มาทุบใจเราให้มันกระเพื่อม มันจึงมีราคาเสมอกัน |
|
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ความคิดเห็นที่ 7 « on 29/5/2555 7:41:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
Re: พิธีรับขันธ์ (๕) ...การหาผลประโยชน์จากผู้ไม่รู้ |
|
|
|
DRAGON Talk: |
สำหรับเรื่อง"ครอบครู" ไม่ทราบว่ามีนัยเหมือนหรือต่างกับเรื่อง"รับขันธ์"อย่างไรบ้างครับ |
|
|
ไม่ทันได้เห็นว่ามีคำถามค้างอยู่
จริง ๆ สมาชิกผู้มีความรอบรู้ทางด้านนี้ที่สามารถให้ความกระจ่างได้เป็นอย่างดีคือ "คุณรณธรรม"
แต่ผมให้ความเห็นในเบื้องต้นก่อนว่าต่างกันมากครับ
การครอบครู เป็นอุบายของคนโบราณในการสร้างฉันทะในการศึกษาศิลปวิทยาการ โดยให้ผู้ที่สมัครตัวเป็นศิษย์ที่จะศึกษาศิลปวิทยาแขนงใดก็ตาม น้อมเอา (บารมี) ครูบาอาจารย์แขนงนั้นมาประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ รวมทั้งยังมีอานิสงส์ทางอ้อมคือการสร้างสำนึกที่จะไม่ใช้วิชาความรู้ที่เล่าเรียนมาไปในทางที่ผิดศีลผิดธรรม อันจะนำความเสื่อมเสียมาสู่ครูบาอาจารย์ แล้วการครอบครูก็มิได้เป็นการทรงเจ้าเข้าผีแต่อย่างใด ตัวผู้ถูกครอบครู (ตามอย่างพิธีโบราณ) ก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะเป็นปรกติ
ส่วนการรับขันธ์นั้น มิได้มีเจตนาในทางสร้างฉันทะเพื่อการศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาแต่อย่างใด เป็นเพียงเข้าใจว่าจะมีองค์เทพมาลงรักษา ทั้ง ๆ ที่ผลของมันเป็นการทำสติสัมปชัญญะของตนเองให้ขาด จึงมีอาการที่ควบคุมไม่ได้ เป็นต้นว่าร่ายรำ หรือพูดภาษาแปลก ๆ (ไม่ว่าจะเจตนาแอบแฝงหรือไม่ก็ตาม)
สรุปว่าต่างทั้งในแง่วัตถุประสงค์ และในแง่ผลกระทบต่อสติสัมปชัญญะของตัวเรา |
|
|
|
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ » คลิ๊กที่นี่ |
|
|