การไปหาครูบาอาจารย์ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ต้องถามตัวเองว่าเราจะไปหาท่านทำไม เราจะไปเพียงหาเนื้อนาบุญสำหรับการทำบุญของเรา หรือเราจะไปหาพระที่ใจดี ไม่ดุด่าว่ากล่าว ตามใจเราทุกอย่าง เพื่อความสบายใจของเราเพียงเท่านั้น หรือเราจะไปหาครูบาอาจารย์เพื่อให้ท่านช่วยพัฒนาและขัดเกลาเรา
สำหรับหลวงปู่แล้ว ท่านไม่เพียงเป็นพระที่จะให้อุบายและกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเท่านั้น หากแต่ท่านยังพร้อมจะติติง ชี้แนะ อบรมสั่งสอน เพราะท่านไม่ใช่พระตามใจศิษย์ ท่านไม่ได้มุ่งหวังที่จะมีศิษย์มาก ๆ หากแต่มุ่งหวังที่ประโยชน์ในทางพัฒนาตนของศิษย์ที่มาอาศัยท่านเป็นสำคัญ ดังนั้น หากศิษย์ทำไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะควร ท่านก็จะติติง ชี้แนะ อบรมสั่งสอน เช่น
- ท่านจะติติง หากเราปฏิบัติธรรมอย่างไม่รู้กาลเทศะ จนกลายเป็นต้นบาปของผู้พบเห็นหรือคนใกล้ชิด
- ท่านจะติติงรุนแรง หากเราประพฤติผิดศีล เช่น กรณีที่ท่านไล่มัคทายกออกจากวัดเพราะเหตุที่ขโมยทรัพย์สินของคนที่มาทำบุญที่วัด
- ท่านจะติติง หากท่านเห็นพวกเราพูดคุยขณะรับประทานอาหาร
- ท่านจะติติง หากเราเที่ยวหากราบครูบาอาจารย์จนเป็นการสร้างนิสัยจับจด ไม่เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติธรรมแบบใดแบบหนึ่งจนเห็นผลเสียก่อน
- ท่านจะติติง หากเราใช้ชีวิตที่ไม่สันโดษ หรือฟุ้งเฟ้อ ปรุงแต่งเกินควร โดยท่านจะทำตนเป็นแบบอย่างของการเป็นอยู่อย่างสันโดษ ประหยัด ไม่นิยมความฟุ้งเฟ้อ
- ท่านจะติติง หากพวกเราเที่ยวพูดเล่าในเชิงอวดผลการปฏิบัติ หรือการรู้การเห็นภายในให้คนอื่นฟัง
- ท่านจะติงติง หากเห็นเรามีกิริยามารยาทไม่เรียบร้อย ไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร หรือแม้แต่กิริยามารยาทจะเรียบร้อยแต่หากไม่ถูกกาลเทศะ ท่านก็จะติติงเช่นกัน เช่น กรณีเข้าแถว ทยอยประเคนภัตตาหาร บางคนเมื่อประเคนอาหารแล้วก็บรรจงกราบท่านช้า ๆ ๓ ครั้ง โดยมิได้ตระหนักถึงผู้คนที่เข้าคิวรอถวายภัตตาหารอยู่เบื้องหลัง บางทีจะเห็นท่านติติง มิให้ชักช้าเสียเวลา (ที่ควร คือ ยังไม่ต้องกราบตอนนั้น หากจะกราบก็ให้รีบประเคนอาหาร แล้วถอยออกมากราบข้างนอก เพื่อมิให้คนที่อยู่ข้างหลังต้องมาเสียเวลาคอยเรากราบให้เสร็จ)
- ท่านจะติติง หากเราเพ่งโทษผู้อื่น ยิ่งกว่าเพ่งโทษตนเอง
- ท่านจะติติง หากใครถือตัวเก่งเกินครูบาอาจารย์หรือพระพุทธเจ้า
- ท่านจะติติง หากใครเอาแต่สวดมนต์จนละเลยการทำสมาธิภาวนา ดังที่ท่านพูดว่า "สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน"
- ท่านจะติติงหากใครเอารูปพระ หรือวัตถุมงคลไปขายกิน
- ท่านจะติติง หากเห็นศิษย์เที่ยวเสียทรัพย์สะสมวัตถุมงคล ดังที่ท่านว่า “พระของข้า องค์เดียวก็พอแล้ว ทำให้มันจริง”
- ท่านจะติติง ใคร ๆ ที่ไม่ระมัดระวังเรื่อง “ของสงฆ์”
- สุดท้าย ท่านจะติติงพวกเราที่ยังตั้งตัวอยู่ด้วยความประมาท ลืมแก่ ลืมเจ็บ ลืมตาย เพราะท่านย้ำเสมอว่า “เวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว ให้รีบพากันปฏิบัติ”
การที่หลวงปู่ไม่ลังเลที่จะติติงแม้อาจจะขัดใจศิษย์ ก็เพราะท่านมิใช่พระที่จะคอยตามใจศิษย์ และท่านก็มิใช่พระที่มุ่งหวังศิษย์มาก ๆ หรือเรียกร้องความรักนับถือจากศิษย์ หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เราได้รับการขัดเกลา ได้รับการพัฒนาอันเป็นสาระสำคัญของการเกิดมาชาติหนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขัดเกลาทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ หากศิษย์ประพฤติผิดศีลผิดธรรม หรือแม้เพียงไม่เรียบร้อยดีงาม ประกอบกับท่านพิจารณาว่าศิษย์ผู้นั้นมีทิฏฐิมานะเบาบางพอที่จะรับการชี้แนะ ท่านก็จะเมตตาอบรมสั่งสอน
บางคนอาจเข้าใจว่าการที่ได้อยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านใจดี ไม่ดุไม่ด่าไม่ว่ากล่าวใด ๆ หรือตามใจศิษย์ทุกอย่างจะเป็นความโชคดี และเป็นความอบอุ่นใจ แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือการเสียโอกาสของการขัดเกลาและพัฒนาตนเองอย่างยิ่ง เป็นการฆ่ากันในทางธรรมทีเดียว เพราะปราศจากการฝึกตนแล้ว ชีวิตที่เกิดมาชาติหนึ่งก็ย่อมไม้พ้นคำว่า “โมฆบุรุษ” หรือ “โมฆสตรี” |