หลวงปู่ท่านสอนเสมอว่า ไม่มีปาฏิหาริย์อันใดจะอัศจรรย์เท่ากับการฝึกหัดอบรมพัฒนาตนเองจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นอริยชนตามแนวทางที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ทั้งหลักศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือการพัฒนาความสามารถในการมีความสุขของตนให้ละเอียดประณีตยิ่งขึ้น กระทั่งถึงภาวะความสุขชนิดที่จะไม่กลับกลายเป็นความทุกข์ได้อีก นั่นก็คือพระนิพพาน
คณะผู้จัดทำฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้มาเยือน Website แห่งนี้ จะได้รับความอิ่มเอิบใจและปีติกับเรื่องราวและธรรมะคำสอนของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ รวมทั้งเกิดศรัทธาและพลังใจในการขวนขวายปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อให้ใจได้สัมผัสธรรม และมีธรรมเป็นที่พึ่งตลอดไป
(โปรดแลกเปลี่ยน/แสดงทัศนะอย่างสร้างสรรค์ โดยมุ่งเน้นธรรมะคำสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของดเว้นบทความหรือเรื่องราวเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่เป็นไปในเชิงพาณิชย์หรือปาฏิหาริย์ที่มิได้วกเข้าหาธรรม)
|
|
Started by |
|
|
Topic: แกมันทำไม่จริง (Read: 46076 times - Reply: 26 comments) |
|
|
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
แกมันทำไม่จริง
|
« Thread Started on 18/11/2552 7:22:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
|
|
|
|
|
|
ความคิดเห็นเกี่ยวกับ: แกมันทำไม่จริง
แสดงความคิดเห็น |
|
สิทธิ์ |
Posts: 591 topics
Joined: 5/11/2552
|
|
ความคิดเห็นที่ 21 « on 15/5/2556 8:10:00 IP : 203.148.162.151 » |
|
Re: แกมันทำไม่จริง |
|
|
|
เด็กข้างวัด Talk: |
LIKE สาธุ ครับพี่สิทธิ์
บางครั้งการปฏิบัติก็เหมือนเส้นผมบังภูเขา คิดเยอะไปก็ฟุ้งซ่าน และอยู่ในโหมดของสังขารความคิดปรุงซะมาก พระโบราณาจารย์หลายรูปท่านจึงแนะนำว่า จงปฏิบัติอย่างคนโง่ รู้ดะไปก่อน อย่างไรเสียย่อมโน้มเอียงไปให้เรารู้จักว่าอย่างงี้เรียกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม เอง แม้ไม่รู้จักชื่อของสิ่งนั้น แต่เข้าใจ ใจก็มีความสุขอยู่ลึกๆ
|
|
|
มีตัวอย่างจริงในอดีตไม่ถึงร้อยปีมานี้ ว่าที่ประเทศพม่า (เมียนมาร์) มีพระภิกษุรูปหนึ่ง แสดงธรรมได้จับใจประชาชน อีกทั้งเนื้อหาของธรรมก็มีความลึกซึ้งมาก จนใคร ๆ ยกย่องท่านเป็นพระอรหันต์ ทั้ง ๆ ที่ตามประวัติ ท่านก็ไม่เคยศึกษาปริยัติมากมายอะไรเลย
ทางราชการได้ตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนเพราะเกรงจะเป็นกรณีพระภิกษุแสร้งทำตนเป็นอรหันต์ แต่ภายหลังที่สอบสวนเสร็จ เหล่าพระเถระผู้ทรงคุณวุฒิ กลับยอมรับว่าเนื้อหาธรรมเทศนาและภูมิความรู้ของพระรูปนั้นไม่ผิดจากธรรมและวินัย เพียงแต่มิได้ใช้ศัพท์ที่มีการบัญญัติในบาลีเท่านั้น แต่อรรถาธิบายเกี่ยวกับสภาวธรรมนั้นถูกต้อง สรุปก็คือ กรรมการอันประกอบด้วยพระเถระก็ร่วมเชื่อด้วยเช่นกันว่าพระรูปนั้นเป็นอรหันต์
อย่างไรก็ดี หากการอธิบายสภาวะธรรมของครูบาอาจารย์ไม่ว่าในยุคไหนก็ตามนั้นเป็นเชิงพรรณาโดยไม่ได้ไปบัญญัติศัพท์ขึ้นมาทับซ้อนกับศัพท์บาลีเดิม ก็จะไม่มีปัญหา (ต่อวงกว้าง) ปัญหาจะเกิดก็ตอนที่มีการใช้ศัพท์บัญญัติเดิมไปสร้างความหมายใหม่ ทีนี้ล่ะ ปัญหาเกิดขึ้นแน่ เพราะศัพท์คำเดียวกันมีหลายความหมาย (พระสูตรอธิบายไว้อย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์อธิบายไว้อีกอย่างหนึ่ง) นี่ขอเล่าเลยเถิดไปสักหน่อย
อ้อ ที่หลวงปู่ท่านสอนให้ "ไม่ให้ปฏิบัติอย่างคนรู้มาก (หรือที่พูดสั้น ๆ กันเองว่าให้ปฏิบัติอย่างคนโง่)" นั้น มิได้ให้โง่จริง ๆ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ทำอะไรก็ต้องใช้ปัญญานำทุกเรื่องไป เพียงแต่ "โง่" ในที่นี้ หมายถึง "เพิกสัญญา" ในขณะปฏิบัติ
ก็อย่างที่น้องคนข้างวัดหยิบยกมานั้นแหล่ะ ถูกตรงทีเดียว ในขณะเจริญจิตตภาวนา ท่านให้เน้นการรับรู้สภาวธรรมตามความเป็นจริง (เน้นสภาวะมิใช่ศัพท์บัญญติ เช่น สุขทุกข์ ปลอดโปร่งหรือไม่ปลอดโปร่งก็รู้ไป ไม่ต้องเรียก (ในใจ) ว่า "นี้สุขเวทนะ นี้ทุกขเวทนานะ ฯลฯ"
หากมามัวนึกเรียกชื่อ (โดยสัญญา-ความจำ) มันก็จะกลายมาเป็นตัวบิดบังสภาวะของจริงที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าไป
แต่ถึงกระนั้น ก็มีเรื่องควรระวังมิให้สุดโต่งเช่นกันว่า สมมุติบัญญัติ หรือศัพท์แสงต่าง ๆ นั้นมีประโยชน์ในทางการศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาในวงกว้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจ (เห็นแผนที่) ตรงกัน ไม่สับสนว่ามีแผนที่เดินทางคนละฉบับ อีกทั้งหากจะต้องมาพรรณาอรรถาธิบายสภาวธรรมแบบพรรณาโวหารทุกครั้งไป (แทนที่จะใช้ศัพท์บัญญัติสั้น ๆ กระชับ) ก็คงต้องใช้เวลามาก ไม่สะดวก และอาจเข้าใจไปคนละอย่าง ดังนั้น ศัพท์บัญญัติ ก็มีประโยชน์อย่างมาก เพียงแต่เราเองต้องรู้กาละเทศะ คือ ในช่วงของการศึกษา ก็ศึกษาและรู้จักศัพท์บัญญัติเหล่านี้ เวลาจะอ้างอิงก็อ้างอิงศัพท์บัญญัติเหล่านี้ให้ถูกตรงความหมาย แต่! พอถึงภาคปฏิบัติจิตตภาวนา ก็ต้องแกล้งโง่ แกล้งลืมศัพท์แสงเหล่านี้ไปเสีย (เรียกว่าเพิกสัญญา) แล้วให้มีสติรู้สภาวะของจริง (ไม่ต้องมีชื่อเรียก) ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าแทน |
|
|
|
กรุณาเข้าสู่ระบบหรือสมัครสมาชิกก่อนโพสข้อความค่ะ » คลิ๊กที่นี่ |
|
|