ในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่นั้น บางคราวท่านก็จะให้ลูกศิษย์ไปตักพระธาตุที่เสด็จมาอยู่ในกระถางธูปที่ในกุฏิของท่าน เพื่อแบ่งเอาไปบูชา โดยท่านมิได้พูดถึงเรื่องอาการที่พระธาตุเสด็จมา ว่ามาได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ศิษย์มีความกระหายและตื่นเต้นอยากรู้ ดังที่เล่าไว้ในหลายที่หลายแห่งว่าปฏิปทาของหลวงปู่นั้น ท่านเน้นสอนด้วยการทำให้ดู ซึ่งกรณีนี้ก็เช่นกัน ท่านมิได้ให้ความสำคัญอันใดกับสิ่งอัศจรรย์ภายนอกยิ่งกว่าเรื่องของคุณภาพใจ สิ่งที่ดูอัศจรรย์จึงมาจบลงตรงที่ใจของผู้รับหรือผู้สัมผัสที่มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มากยิ่งขึ้น เลื่อมใสแล้วทำยังไงต่อ เลื่อมใสแล้วก็ต้องไปเพิ่มศรัทธาความเพียรในการปฏิบัติยกระดับจิตใจเราจากปุถุชนให้เป็นกัลยานชน กระทั่งเป็นอริยบุคคล ในที่สุด มิใช่โอ้โฮ ๆ กับโน่นนี่ไม่รู้จบ จนหมู่คณะใคร ๆ เขาเตรียมพร้อมต่อการมีชัยชนะต่อกิเลส และต่อความตายกันแล้ว เราจะยังมาโอ้โฮ ๆ อยู่อีก พูดถึงเรื่องพระธาตุ มีลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงปู่คนหนึ่ง แกมีบารมีทางด้านพระธาตุอย่างมาก แต่ก็เก็บเนื้อเก็บตัว เพราะกลัวเปลืองตัว จากคำครหาว่าหลอกลวงเรื่องพระธาตุ แกแจกพระธาตุกับหมู่คณะ รวมทั้งครูบาอาจารย์ที่ไปเยี่ยมที่บ้าน ในช่วงออกพรรษา แล้วงดแจกในช่วงเข้าพรรษา แต่พอออกพรรษาใหม่ พระธาตุก็เสด็จมาเต็มเจดีย์อีก บ่อยครั้งที่แกต้องนอนดึกดื่น เพราะมานั่งคัดแยกพระธาตุสันฐานที่คล้าย ๆ กันไว้ด้วยกัน แกพูดติดตลกว่าได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุมาหลายสิบปีก็ไม่เคยเห็นพระธาตุที่มีลักษณะกลมใสและมีสีสันต่าง ๆ อย่างที่ตำราเรียกว่าโลหิตธาตุ ฯลฯ กระทั่งเมื่อคราวที่มีเหตุการณ์ชาวมุสลิมระเบิดพระพุทธรูปที่อาฟกานิสถาน สงสัยพระบรมสารีรกธาตุคงเสด็จหนีมาอยู่เมืองไทยกระมัง (แกพูดเล่าด้วยอารมณ์ขัน) ต่อมาด้วยความอยากรู้ของศิษย์รุ่นหลังเกี่ยวกับเรื่องบารมีของผู้ที่มีพระธาตุเสด็จมามาก ๆ จึงได้ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (เพราะเวลานั้นหลวงปู่ดู่มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อพุธท่านก็ให้ไปขอดูนิ้วมือของลุงดูซิว่ามีก้นหอยทั้ง ๑๐ นิ้วไหม ท่านว่านั่นเป็นลักษณะของผู้ที่ได้รับพรหรือบารมีจากพระพุทธเจ้าให้พระบรมสารีริกธาตุตามรักษาไปตลอด เพราะอานิสงส์จากการที่เคยอุปัฏฐากพระพุทธจ้าในอดีต พอเด็กคนนี้ไปแอบดูลายนิ้วมือของลุงท่านนั้น ก็ต้องตกใจเพราะปลายนิ้วมือแกมีลายก้นหอยทั้ง ๑๐ นิ้วเลย เล่ามาถึงตรงนี้ก็อาจมีผู้นึกอยากจะรู้ว่าคุณลุงท่านนั้นเป็นใคร ก็ขอออกตัวไว้เลยว่าคุณลุงซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสของหลวงปู่ผู้นี้ แกอายุมากแล้ว มิใช่วัยรับแขกเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนจะจบเรื่องพระธาตุก็อยากให้ผู้มาใหม่ได้เข้าใจว่าพระธาตุบางอย่างที่นำมาบูชากัน รวมทั้งที่เห็นในหนังสือที่เผยแพร่กันมาก บางอย่างก็เป็นหินตามถ้ำ หากแต่เป็นหินที่สีสันฐานดั่งพระธาตุ เขาจึงบัญญัติเรียกว่า พระธาตุเทพนิมิต เช่น พระธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้าที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ สีขาว เรียบมัน และพระธาตุพระสีวลี ที่มีลักษณะคล้ายสมองคน เป็นต้น สุดท้าย หากเราเป็นผู้มีปัญญา ก็ควรวางใจเกี่ยวกับพระธาตุไว้เช่นเดียวกับพระพุทธรูปว่าเป็นสื่อหรือเครื่องระลึกถึงของจริงของแท้ นั่นก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณนั่นเอง มิใช่บูชาเยี่ยงเทพเจ้าผู้ดลบันดาลความสำเร็จให้กับนักอ้อนวอนขอร้องทั้งหลายอย่างลัทธิเทวนิยม |