เรื่องที่จะเล่านี้ เป็นเรื่องที่ชวนให้สลดสังเวชใจ เพราะเป็นเรื่องที่เกินคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ในชมรมพุทธแห่งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน ได้มีกรรมการชมรมพุทธแห่งหนึ่งนำพระพุทธรูปหน้าตัก ๙ นิ้ว จำนวน ๓ องค์ มากราบขออนุญาตหลวงปู่ให้ท่านอธิษฐานจิตเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐานที่โต๊ะหมู่บูชาในชมรมพุทธแห่งนั้น หลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตนิ่งอยู่นานถึงเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วจึงให้นำกลับไปประดิษฐานที่ชมรมพุทธตามความประสงค์ พระพุทธรูปนั้นได้เป็นหลักใจของสมาชิกชมรมพุทธนั้นอยู่นานราว ๓ ปี และตลอดระยะเวลาดังกล่าว สมาชิกชมรมพุทธก็ได้อาศัยสวดมนต์ภาวนาและถวายดอกไม้สักการะมาตลอดแทบมิได้ขาด กระทั่งกรรมการและสมาชิกรุ่นนั้นได้จบออกจากสถาบัน และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อกรรมการชมรมพุทธรุ่นใหม่ผู้มีศรัทธาอย่างยิ่งยวดต่อสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ได้แจ้งความประสงค์ว่าต้องการเคลียร์พระพุทธรูปต่าง ๆ ออกจากชมรม เพื่อจะประดิษฐานเฉพาะพระพุทธรูปที่นำมาจากสำนักปฏิบัติที่ตนศรัทธาเท่านั้น รวมทั้งขนย้ายหนังสือธรรมะที่ไม่ใช่ของสำนักตนออกด้วยเช่นกัน เมื่ออดีตกรรมการชมรมพุทธรับทราบข่าวนี้ จึงได้นำพระพุทธรูปเหล่านั้นไปถวายต่อหลวงปู่ที่วัดสะแก หลวงปู่พูดว่า "เขาไม่เอาพระข้า" แล้วก็ไม่ว่ากระไร ผู้ที่นำพระไปในวันนั้น ได้แต่รู้สึกสลดใจและประหลาดใจว่าในขณะที่ใคร ๆ ก็ปรารถนาอยากได้พระที่หลวงปู่เมตตาอธิษฐานให้ แต่ก็ยังมีผู้ปฏิเสธไม่ต้องการพระหลวงปู่ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะเหตุใดหนอ ในที่สุดพระที่หลวงปู่รับคืนมาก็มีผู้ขออัญเชิญไปบูชาที่บ้านด้วยความอิ่มเอิบใจ นี่ดูเอาเถิด ของอย่างเดียวกัน คนหนึ่งอยากได้ แต่อีกคนหนึ่งรังเกียจ โลกมนุษย์นี้พร่องอยู่เป็นนิจจริง ๆ หาความพอดีได้ยาก สัตว์โลกนี้นานาจิตตัง เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า คุณค่าของวัตถุนั้นขึ้นอยู่กับจิตใจคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของศรัทธา ผู้รู้ค่าย่อมทะนุถนอมเทิดทูนรักษาของนั้นไว้ แต่ผู้ไม่รู้ค่าเห็นของนั้นเป็นเพียงของส่วนเกินที่รังแต่จะเกะกะสายตา ในที่สุด พระหลวงปู่ก็ไปอยู่กับผู้รู้ค่าจนได้ คุณค่าจริง ๆ ในองค์พระอยู่ที่ใดหนอ ถ้าไม่ใช่ที่ใจเรา แค่เห็นก็สงบเยือกเย็นใจ แค่เห็นก็อยากก้มกราบสักการะงาม ๆ แค่เห็นก็ให้เกิดอนุสสติระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และคำสอนหลวงปู่ครูบาอาจารย์ แค่เห็นก็เกิดความละอายว่าทำไมเรายังตั้งอยู่ในความประมาท ...วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ |