ยุคสมัยนี้ เป็นยุคที่อาจารย์รุ่นใหม่พยายามหาทางลัดมาตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่อยากได้บรรลุธรรมโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ยิ่งพยากรณ์หรือรับรองว่าคนนั้นคนนี้บรรลุธรรมชั้นนั้นชั้นนี้ หรือบ้างก็อ้างความผูกพันธ์กันมาแต่ชาติปางก่อน อย่างนี้แล้ว ศิษย์ก็ยิ่งเกิดความจงรักภักดี ไม่ไปไหนอื่นทีเดียว
การปฏิบัติธรรมแนวใหม่จึงออกไปในทาง "ไร้การปฏิบัติ" เพราะมันสบายดี จะไม่สบายได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีการข่มจิต ไม่ต้องฝืนกิเลส เช่นสอนว่าความโกรธเกิดขึ้นก็ไม่ต้องละ ให้ดูหรือรู้เฉย ๆ
...พระพุทธเจ้าสอนว่ากิเลสหรือสมุทัยเป็นสิ่งที่ต้องละ ส่วนตัวทุกข์เป็นสิ่งที่ต้อง (กำหนด) รู้ แต่นี่กำลังสอนว่ากิเลสหรือสมุทัยเป็นสิ่งที่ต้อง (กำหนด) รู้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องละ!
มาถึงตอนนี้ก็ยิ่งเห็นความสำคัญที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง "กิจในอริยสัจ ๔" ในเรื่องที่ว่า ทุกข์เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ สมุทัยเป็นสิ่งที่ต้องละ นิโรธเป็นสิ่งที่ต้องกระทำให้แจ้ง และมรรคเป็นสิ่งที่ต้องเจริญ (กระทำ บำเพ็ญ)
พระพุทธองค์ตรัสไว้ชัดว่าพระพุทธศาสนาเป็น "กรรมวาที" วิริยะวาที" "กิริยะวาที" เป็นศาสนาแห่งการปฏิบัติ
ไม่ได้ปฏิบัติ หรือไม่ได้ทำงาน ผลงานย่อมไม่เกิด ผู้ที่เขาบำเพ็ญถึงที่สุดแล้วเท่านั้น จึงจะได้ชื่อว่า "อสิกขา" คือเสร็จกิจแล้ว ...ตราบใดที่กิเลสยังไม่หมด กิจคือการกระทำเพื่อชำระล้างก็ต้องดำเนินต่อไป
ความจริงแล้วเรื่อง "การเพ่ง การจ้อง การกำหนด การบังคับ การข่มจิต" ที่สำนักปฏิบัติยุคใหม่พากันระบุว่าเป็นสิ่งผิด (หรือเรียกว่าเป็นมิจฉาสมาธิ) นั้น ก็เท่ากับประกาศว่าการปฏิบัติและการสอนของครูบาอาจารย์ที่ผ่านมาไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่รู้ว่า "อัฐิของท่านเหล่านั้นเป็นพระธาตุไปได้อย่างไร"
การทำสมาธิมีเป้าหมายเพื่อจิตอยู่ในอารมณ์เดียว หากไม่อาศัยการเพ่ง การจ้อง การบังคับ การข่มจิต มันจะไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร ปัญหาที่นักปฏิบัติต้องค่อย ๆ เรียนรู้คือ ทำอย่างไร วางใจอย่างไร จึงจะเป็นการกระทำที่ "พอดี" เรียกว่าเรียนรู้ที่จะ เพ่งพอดี ๆ จ้องพอดี ๆ กำหนดพอดี ๆ บังคับจิตพอดี ๆ ข่มจิตพอดี ๆ
หลวงพ่อชาท่านใช้อุปมาที่ช่วยให้เห็นภาพและเข้าใจชัดในเรื่องนี้ ท่านอุปมาการทำสมาธิเหมือนการจับปลาช่อนให้อยู่มือ ท่านว่าหากเราจับมันหรือบีบมือแรงไป ปลาช่อนก็หลุดมือ ในทางตรงกันข้าม หากเราจับมันหรือบีบมือเบาไป ปลาช่อนก็หลุดมืออีก ท่านให้เราพิจารณาและเรียนรู้ถึงการจับที่ออกแรงพอดี ๆ คือ วางใจบังคับจิต ข่มจิต พอดี ๆ
สัตว์ป่า จะเอามาใช้งานได้ก็โดยอาศัยผ่านการฝึก การบังคับ การดัด (นิสัย) จิตของเรามันยิ่งกว่าสัตว์ป่าอีก ถ้าไม่ดัด ไม่ข่มมัน มันก็จะไปตามสัญชาติญาณของมัน ก็เหมือนอย่างเด็ก ถ้าเราไม่สอนให้รู้จักถ่ายเป็นที่ เด็กก็คงจะถ่ายไม่เลือกที่
จะทำสมาธิ แต่ปฏิเสธ การ concentrate หรือ focus (ขออนุญาตใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ) ซึ่งก็คือการเพ่ง การจ้อง การบังคับ การข่มจิต ฯลฯ แล้วจิตจะรวมได้อย่างไร เว้นแต่เรามิได้มุ่งเป้าหมายในทางสมาธิ ต้องการให้จิตมันรวมเข้ามาอยู่ในอารมณ์เดียว เป็นจิตที่ตั้งมั่นทรงตัวที่จะเป็นเครื่องมือหรือพื้นฐานที่เอื้อต่อการทำงานในทางปัญญาต่อไป
การตามดูตามรู้ความฟุ้งนั้นมันเป็นแขนงย่อย ไม่ใช่ตัวปฏิบัติที่เป็นหลัก เคยนั่งฟังหลวงพ่อพุธท่านสนทนาธรรม ท่านสอนว่า หากทำความสงบจิตโดยอุบายบริกรรมภาวนาแล้วเอาไม่อยู่ แทนที่จะเลิกการปฏิบัติก็ลองตามดูเจ้าความฟุ้งซ่านไป ดูมันไปซิว่ามันจะไปจบที่ไหน เหมือนม้ามันยังพยศ เราก็ตามจับหางมันไป กระทั่งมันเหนื่อย มันคลายพยศแล้ว เราจึงค่อยดึงมันกลับมาด้วยคำบริกรรมภาวนาหรืออุบายทางสมาธิที่ตนถนัดต่อไป
ที่แสดงทัศนะมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะสลดใจที่ครูบาอาจารย์ยุคใหม่ ไม่ซื่อตรงต่อธรรม ในสมัยหลวงปู่ทายังมีชีวิต ท่านพูดสอนซ้ำ ๆ ในสำนวนที่ว่า "กำหนดเข้าไป เพ่งเข้า ๆ" แต่การเผยแพร่ของบางสำนักกลับเป็นว่า "ท่านสอนให้รู้ซื่อ ๆ (รู้เฉย ๆ)" แถมสำทับว่า เพ่ง จ้อง กำหนด บังคับ ฯลฯ ผิดหมด เป็นมิจฉา ซึ่งนอกจากคำว่า "รู้ซื่อ ๆ" นั้น ศิษย์ส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินกันแล้ว ยังเผยแพร่ไปในทางตรงกันข้ามกับท่าน นี่ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่จะรู้สึกอย่างไรว่า สิ่งที่ท่านสอนว่าให้ทำ เขากลับบอกว่าท่านสอนไม่ให้ทำ ส่วนสิ่งที่ไม่ได้สอนให้ทำ เขาอ้างว่าท่านสอนให้ทำ
วิธีการทำนองนี้ ก็มักทำกับครูอาจารย์ที่ท่านละสังขารไปแล้ว ดังอีกกรณีหนึ่ง คือ ในช่วงที่ผมมีโอกาสทำหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่สุวัจน์ ก็มีความพยายามของสำนักนี้ในการส่งบันทึกธรรมหลวงปู่สุวัจน์มาให้ลงแทรก ซึ่งแน่นอนก็จะมีคำว่า "รู้ซื่อ ๆ ไม่เพ่ง ไม่จ้อง" ปนมาอยู่ในนี้ ผมจึงนำไปให้ศิษย์ที่ใกล้ชิดที่ได้ฟังธรรมของหลวงปู่อยู่เป็นประจำช่วยพิจารณาว่าใช่สำนวนของหลวงปู่หรือเปล่า ผลก็คือ ทุกคนตอบว่าฟังดูแปลก ๆ ไม่เคยได้ยิน
แต่ไม่เป็นไร ไม่มีคนอื่นเคยได้ยินก็ใช่ว่าจะผิด เพราะหลวงปู่อาจกล่าวสอนเฉพาะกับใครบางคน แล้วคนอื่น ๆ ไม่ได้ยิน ดังนั้น ผมจึงนำบันทึกธรรมอันนั้น ไปให้พระเถระ (ศิษย์อาวุโสท่านหนึ่งของหลวงตามหาบัว) ช่วยพิจารณา ท่านพิจารณาแล้ว บอกว่า "ไม่น่าถูกต้อง" เมื่อเป็นดังนี้ ผมจึงไม่นำมาลง เพราะมีความเสี่ยงที่จะไม่ถูกต้อง (คือไม่ใช่คำสอนของหลวงปู่จริง) และเสี่ยงที่จะไม่เป็นธรรม (คือสอนไม่ถูกต้อง)
การได้เห็นกระบวนการหรือความพยายามอ้างครูบาอาจารย์ที่ท่านละสังขารไปแล้วมารับรองตนเอง จึงนำมาซึ่งข้อความที่พรรณนามา แล้วก็คิดว่าอาจไปกระทบกับศรัทธาความเชื่อของบางท่าน ก็ขอให้ได้ถือเป็นจุดให้ฉุกคิดโดยพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม แล้วเทียบเคียงสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน จากพระสูตรโดยตรง มิใช่จากการกล่าวอ้างหรือตีความโดยเจ้าสำนักนั้น ๆ ที่เด่นชัดมากก็คือ พระพุทธเจ้าสอนให้ข่มจิต ดัดจิต อบรมจิต ฯลฯ ในหลายที่หลายแห่ง แม้การเจริญสัมมาสมาธิ ท่านก็ว่าคือการเจริญฌาณทั้ง ๔ ให้เกิดขึ้น แล้วฌาณก็แปลว่า "การเพ่ง"
ดังนั้น การเพ่ง การจ้อง การบังคับ การข่ม การกำหนด ฯลฯ ไม่ผิดแน่นอน นอกจากไม่ผิดแล้วยังเป็นข้อควรปฏิบัติอีกด้วย หากจะมีปัญหา ก็เป็นเรื่องว่าจะต้องเพ่งพอดี ๆ จ้องพอดี ๆ บังคับพอดี ๆ ข่มพอดี ๆ กำหนดพอดี ๆ ฯลฯ ต่างหาก ดังอุบายเรื่องการจับปลาช่อนให้อยู่มือที่ยกมาข้างต้น
บันทึกไว้เพื่อร่วมรักษาธรรม |