ขออนุญาตแสดงความเห็นเพิ่มเติมอีกหน่อยนะครับ ด้วยเจตนาสร้างสรรค์ ไม่ได้ต้องการจะจับผิดหรือกวนป่วนแต่อย่างใด เพียงมีวัตถุประสงค์ให้ชวนกันคิดเท่านั้น จากคำที่ว่า"เพราะแนวโน้มของโลกมันเป็นอย่างนั้น การปฏิบัติธรรมในยุคหลังมีแนวโน้มหรือปฏิปทาในทางอาศัยสมาธินิดหน่อย แล้วเจริญปัญญาเลย บาทฐานของภูมิสมาธิที่มากพอทั้งรูปฌานและอรูปฌาน (หรือที่เรียกว่าสมาบัติ) ซึ่งเป็นฐานของการจะได้อภิญญามันจึงไม่พอ (อาจไม่พอต่ออภิญญา แต่อาจเพียงพอต่อการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีฤทธิ์อภิญญา)" ผมอ่านข้อความนี้ สะดุดในความคิดอยู่2-3 ประเด็นก็เลยแสดงความเห็นไปแบบปัจจุบันทันด่วน ในครั้งก่อน ยังไม่ทันได้เรียบเรียงความคิดนัก เลยขอตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมดังนี้ 1. ความเห็นข้างบนนี้ อาจทำให้คนเข้าใจไปได้ว่า เพราะการปฏิบัติแบบสมาธินิดหน่อย แล้วเจริญปัญญาเลย ทำให้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ไม่มีอภิญญา ซึ่งผมพยายามยกตัวอย่างเพื่อสรุปความเห็นตนเองให้ฟังว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะใครจะมีอภิญญาหรือไม่ในปัจจุบัน มีเหตุย้อนหลังยาวนาน คือท่านผู้นั้นเป็นผู้มีเหตุปัจจัยนิสัยวาสนาทางอภิญญา ไม่สามารถมองหรือใช้เหตุผลเพียงปัจจุบันชาติ คำกล่าวทำนองว่า "เพราะการสอนสมาธินิดหน่อย แล้วเจริญปัญญาเลยในยุคปัจจุบันนี้ ทำให้นักภาวนาส่วนใหญ่ในยุคนี้ไม่มีอภิญญา" จึงยังไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ 2. ผู้อ่านบางท่านที่ได้อ่านข้อความดังกล่าวอาจเข้าใจว่า ปัญญาเป็นอุปสรรคของอภิญญา บางคนที่คิดลึกอีกหน่อยอาจมองว่า ความเห็นตามข้อความข้างต้น เป็นความเห็นในเชิงดูแคลน “การปฏิบัติแบบเจริญปัญญาทั้งที่สมาธิแค่นิดหน่อย” ที่ได้อย่างมากก็ได้แค่ความหลุดพ้นอย่างแห้ง -ในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าสอนคนส่วนใหญ่อย่างไร สอนให้ทำสมาธิจนได้อภิญญาก่อนแล้วค่อยใช้ปัญญา หรือ สอนให้ใช้ปัญญาได้เลย สำหรับคนที่มีความตั้งใจที่จะคิดจะพิจารณาตามสิ่งที่พระองค์สอนอยุ่แล้ว?
- ถ้าต้องทำสมาธิก่อน ถึงควรต่อปัญญา ถามว่าให้ทำสมาธิระดับไหน จึงควรจะใช้ปัญญาได้ ควรรอให้เกิดอภิญญาก่อนหรือถึงฌานก่อนแล้วจึงค่อยฝึกปัญญาหรือไม่ และหากทำสมาธิได้เช่นว่าจริงๆ เอาปัญญาที่ไหนมาต่อ ถ้าไม่เคยเตรียมปัญญาเอาไว้ ? สมาธิระดับไหนถึงต่อปัญญาได้? ปํญญามีกี่ระดับ มีความร้อยเรียงสัมพันธ์กันอย่างไร ? ฯลฯ. ผมไม่ขอตอบคำถามข้างต้นนี้นะครับ แต่ตั้งไว้ให้พิจารณา กันเองตามแต่จะเห็นสมควร 3. ที่ว่าการปฏิบัติธรรมในยุคหลังมีแนวโน้มหรือปฏิปทาในทางอาศัยสมาธินิดหน่อย แล้วเจริญปัญญาเลย นั้นก็แสดงว่า การปฏิบัติธรรมในยุคพุทธกาลดั้งเดิมพระพุทธเจ้าสอนให้ทำสมาธิมากแล้วค่อยเจริญปัญญาหรืออย่างไร พระพุทธเจ้าสอนคนส่วนใหญ่แบบนี้จริงหรือ? ทำไมในมรรค8 พระองค์เอาสัมมาทิฏฐิซึ่งเป็นเรื่องปัญญาขึ้นก่อน แล้วเอาสัมมาสมาธิอยู่ข้อสุดท้าย? โดยส่วนตัวผมกลับเห็นว่า การสอนพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันเสียอีก ที่ส่วนใหญ่สอนคนให้ขยันทำสมาธิทำสติกันมาก สอนทั้งในเมืองไทย และในต่างประเทศ ที่จะสอนแบบทำสมาธินิดหน่อยแล้วเจริญปัญญาเลยมีน้อย ผู้ที่จะสอนปัญญาได้ clear cut หาได้ยาก และชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจจะฝึก(บางแห่งอาจมีบ้างที่สอนในเชิงดูแคลนสมาธิ ทำนองถ้าทำสมาธิมากไปจะติดสมถะ หรือดูแคลนปัญญาในระดับความคิดธรรมดา) ลองดูซิครับเราขาดบุคคลากรชาวพุทธที่ ฝึกหรือสอนทำสมาธิหรือไม่ ถ้าไม่ คำกล่าวที่ว่า ยุคนี้คนได้อภิญญากันน้อยเป็นผลมาจาก “การปฏิบัติธรรมในยุคหลังมีแนวโน้มหรือปฏิปทาในทางอาศัยสมาธินิดหน่อย แล้วเจริญปัญญาเลย”ก็ ไม่ logic ส่วนตำราจะว่ายุคนี้ยุคนั้นจะมีพระอริยเจ้ามากน้อย เป็น ปฏิสัมภิทา หรือ สุขขวิปัสสโก อะไร ๆ ขอยกไว้ก่อน ยังไม่ขออภิปรายเรื่องนี้เพราะจะยาวครับ ถ้าจะกล่าวก็เพียงสั้นๆก็เพียงว่า สิ่งที่เขียนในตำราก็มิใช่สิ่งที่ควรเชื่อไปทั้งหมด
คนมีปัญญาจริงๆ เขาจะไม่ประมาทดูแคลน สมาธิหรอกครับ เขาเข้าใจถึง ความสำคัญความจำเป็นของสมาธิ และเข้าใจข้อจำกัด และโทษของสมาธิด้วยถ้าสมาธิกลายเป็นบังเกอร์ของกิเลส อันที่จริงโดยส่วนตัวก็เชื่อว่าทุกคนก็ชอบและอยากได้อภิญญาด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเลือกได้ตามใจปรารถนา (รวมผมด้วย) ลองพิจารณาความเห็นในมุมต่างดูนะครับ คิดว่าเป็นอะไรสนุกๆ ก็แล้วกัน เจอแต่กระทู้หรือความเห็นอะไรๆ ที่เหมือนหรือคล้ายกันหมดผมว่ามันน่าเบื่อเหมือนกันนะครับ |